การคิดบวกที่ได้จากพ่อ ช่วย “อาเมียร์ ข่าน” รับมือกับอุปสรรคในชีวิต
ความตั้งใจที่จะทิ้งไม้กอล์ฟ แล้วหันไปเอาดีทางด้านศิลปะการต่อสู้ของ “อาเมียร์ ข่าน” จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดทัศนคติเชิงบวกจาก “ทาจูดีน” พ่อของเขาที่ช่วยหล่อหลอมและย้ำเตือนทุกวันมาตั้งแต่เด็ก
“พ่อของผมเป็นคนคิดบวกเสมอ ในวันที่ผมเจอเรื่องแย่ๆ ผมจะระลึกถึงคำสอนของท่านเพื่อยุติมันด้วยการคิดบวก”
“เรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นได้ คุณเพียงแต่ต้องเรียนรู้และเติบโตจากมัน พ่อย้ำกับผมทุกวันเพื่อให้ฝังแนวคิดนี้ในหัวของผม”
ทาจูดีน ให้ความสำคัญกับความคิดเชิงบวกนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งมันช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับ อาเมียร์ และพี่ชายของเขามาโดยตลอด
“พ่อของเข้มงวด และยุติธรรม ท่านจะชมผม เมื่อผมทำได้ดี แต่ถ้าผมทำได้ไม่ดีอย่างควรจะเป็น เขาจะไม่ลงโทษผม แต่เขาจะบอกให้ผมรู้ว่าผมทำได้ดีกว่านั้น”
“คำพูดให้กำลังใจของท่าน ช่วยให้ผมมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และผมเรียนรู้ที่จะใช้ความคิดเชิงบวกกับทุกสิ่งที่ผมทำ”
- “มาร์ค แฟร์เท็กซ์” โวกดดันเก่ง “ทรอย” จะรับมือไหวเหรอ
- หนักกว่าเธอก็เจอมาแล้ว “ทิฟฟานี เตียว” ไม่หวั่นเกมล็อก “อายากะ”
- “ชนนภัทร” กลับสู่พิกัดเก่ง ยืนยันศึกนี้ชนะ-แพ้กันแบบขาดลอย
ทาจูดีน ยิ่งแสดงความหนักแน่นในแนวคิดนี้มากขึ้น เมื่อลูกชายอยู่ในช่วงวัยรุ่น โดย อาเมียร์ ได้รับการวินิจฉัยว่าอยู่ในกลุ่มอาการทูเร็ตต์ (Tourette Syndrome) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบประสาท ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการอย่างกล้ามเนื้อกระตุกซ้ำๆ หรือทำเสียงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เขาถูกเพื่อนร่วมชั้นกลั่นแกล้งเป็นประจำ
“พวกเขามักล้อเลียนผมเสมอ ผมจำได้ว่าผมร้องไห้กลับบ้านแล้วถามพ่อว่า ‘พ่อครับ ผมผิดอะไร’ และไม่เคยเลยสักครั้งที่พ่อของผมจะทำให้ผมรู้สึกว่าแตกต่างจากคนอื่น”
“พ่อบอกผมว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะต้องพบกับอุปสรรคในชีวิต ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเผชิญ และมันขึ้นอยู่กับผมว่าจะรับมือกับสถานการณ์นั้นให้ดีที่สุดได้อย่างไร”
อิทธิพลทางความคิดของพ่อ ทำให้ อาเมียร์ เปลี่ยนมุมมองของตัวเอง โดยเห็นว่าอุปสรรคทั้งหลายเป็นเรื่องของความท้าทาย
“เขาไม่ชอบให้ผมมีข้ออ้าง ผมเริ่มมองปัญหาต่างๆ เป็นความท้าทายที่ผมจำเป็นต้องก้าวข้ามมัน ซึ่งกระบวนการคิดเหล่านั้นผมสามารถนำมาปรับใช้กับการแข่งขัน ซึ่งมันทำให้ผมผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้”
หลังฝึกซ้อมมวยไทยได้สักระยะ อาเมียร์ ก็ค้นพบว่าศิลปะการต่อสู้ช่วยให้อาการทูเร็ตต์ของเขาทุเลาลง เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกในทางที่ดีขึ้น ทาจูดีน จึงส่งเขาไปที่ ลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาต่อชั้นมัธยมปลาย ซึ่งในระหว่างที่อยู่ รัฐพิลิแกน อาเมียร์ ก็ฝึกศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานไปด้วย อีกทั้งยังลงแข่งขันระดับอาชีพครั้งแรกในรายการท้องถิ่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557
การต้องย้ายจากบ้านอันแสนอบอุ่นที่เอเชีย ไปสู่ภูมิภาคใหม่ในอเมริกาเหนือ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตช่วงวัยรุ่นของ อาเมียร์ ขณะเดียวกันมันก็ช่วยเปลี่ยนเขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
“มันเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผมจำเป็นต้องพึ่งพาตนเองในต่างถิ่น บทเรียนเรื่องการคิดบวกที่ผมได้รับจากพ่อในเรื่องการจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และมองโลกในแง่ดีเมื่อยามพบกับอุปสรรค ช่วยให้ผมโตขึ้นได้มาก”
ความคิดที่ถูกตอกย้ำในหัวมาตั้งแต่เด็กยังส่งผลต่อเขาจนทุกวันนี้ แต่ในรูปแบบที่เปลี่ยนไป อาเมียร์ นำบทเรียนจากพ่อผู้เป็นต้นแบบชีวิตมาใช้กับความท้าทายครั้งใหม่ ด้วยหน้าที่เดียวกันกับที่พ่อของเขาทำ หลังจากที่ภรรยาได้ให้กำเนิดลูกชาย “ลีโอเนล” ซึ่งตอนนี้อยู่ในวัย 11 เดือน
“พ่อของผมไม่เคยตี หรือพูดจาทำร้ายจิตใจผม เขารู้วิธีการสื่อสารในเชิงบวก และนั่นคือสิ่งที่ผมจะนำมาใช้กับลูก พวกเราไม่เคยมีอคติในบ้าน เพราะพ่อมักจะช่วยคลี่คลายมัน เขารับผิดชอบหน้าที่นี้ แม้อาจทำให้ตัวเองต้องไม่สบายใจก็ตาม”
ตอนนี้ อาเมียร์ มีแรงจูงใจในการแข่งขันเป็นสองเท่า นอกจากจะเป็นการตอบแทนความเชื่อมั่นและศรัทธาที่พ่อมีในตัวเขา ยังจะเป็นต้นแบบให้ อาเมียร์ ตัวน้อยที่กำลังเติบโตขึ้นในอนาคตด้วย
อ่านเพิ่มเติม: เลือกยิมไหนดี? สำหรับให้ลูกเรียน “ศิลปะป้องกันตัว”