บราซิลเลียนยิวยิตสูพลิกชีวิต “บิเบียโน” จากเด็กล้างรถสู่ตำนานแห่งวงการต่อสู้
แม้จะเติบโตขึ้นมาภายใต้ความแร้นแค้น แต่ “The Flash” บิเบียโน เฟอร์นานเดส ก็ถีบตัวเองขึ้นมาเป็นนักสู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของ วัน แชมเปียนชิพ ในฐานะอดีตแชมป์โลก ONE รุ่นแบนตัมเวต (145 ป.) ผู้ยิ่งใหญ่
ด้วยความมุมานะและทะเยอทะยาน เพื่อต้องการที่จะมอบอนาคตที่มั่นคงให้กับครอบครัว นี่คือเรื่องราวและสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ก่อนที่ บิเบียโน จะพลิกตัวเองมาเป็นไอคอนแห่งวงการศิลปะการต่อสู้ในปัจจุบัน
#ชีวิตในป่าแอมะซอน
“บิเบียโน” เกิดที่เมืองมาเนาส์ ประเทศบราซิล ภายในครอบครัวใหญ่ที่มีพี่น้อง 6 คน แม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุเพียง 7 ขวบ ในขณะที่พ่อไม่อาจเลี้ยงลูกทั้งหมดได้ จึงฝากลูก ๆ ไว้กับพี่สาวที่อาศัยอยู่ลึกเข้าในป่าแอมะซอน ซึ่งต้องหาอาหารป่าเพื่อประทังชีวิต
“มองย้อนกลับไป ชีวิตตอนนั้นลำบากมาก บางคนพูดว่าชีวิตมันไม่ง่าย แต่ผมย้ำเตือนตัวเองเสมอว่า ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า”
แม้ “บิเบียโน” จะพยายามมองโลกในแง่ดี แต่มันไม่อาจช่วยให้เขารอดพ้นจากไข้มาเลเรีย ซึ่งมันกลายเป็นโรคเรื้อรังติดตัวเขาอยู่อย่างนั้นราวสองสามปี ในที่สุดพ่อก็ต้องมารับตัวลูกชายกลับเข้าไปอยู่ในเมือง เพื่อหาหยูกหายามาดูแลรักษาให้หายเป็นปกติ
ชีวิตที่กลับสู่เมืองมาเนาส์ อาการของเขาดีขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายที่ขยับขึ้น จนกลายเป็นภาระของครอบครัวที่เขาจะต้องออกไปหางานเพื่อนำเงินเข้าบ้านมาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ
#ทำงานแลกฝัน
บ่ายวันหนึ่งขณะที่ “บิเบียโน” ในวัย 14 ปี รับจ็อบล้างรถเพื่อนำเงินไปเป็นค่าเล่าเรียน เขาก็ไปสะดุดตากับยิมสอนศิลปะการต่อสู้แห่งหนึ่ง ซึ่งสอนวิชาบราซิลเลียนยิวยิตสู (BJJ)
“บิเบียโน” เข้าไปดูด้วยความสนใจ และตกหลุมรัก “ศาสตร์แห่งความอ่อนโยน (gentle art)” นี้ในทันทีที่เห็นนักเรียนกำลังฝึกฝนกันอยู่ แว่บแรกเขารู้ตัวว่าไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนได้ แต่เขายังมีความโชคดีอยู่บ้างเมื่อตัดสินใจเข้าไปพูดคุยกับโค้ช
“ผมบอกโค้ชว่า ผมอยากฝึกแต่ผมไม่มีเงิน ซึ่งโค้ชตอบผมว่าไม่เป็นไร งั้นมาช่วยทำความสะอาดยิมละกัน นับแต่นั้นผมก็ไปยิมทุกวัน ช่วยทำความสะอาดและทำงานจิปาถะ ผมโฟกัสกับการฝึกยิวยิตสู และได้พบกับคนมากมาย มันเป็นเหมือนชุมชนเล็ก ๆ”
“บิเบียโน” โชว์พรสวรรค์ของตัวเองด้วยการปิดเกมอย่างรวดเร็วด้วยการซับมิชชัน จนทำให้เขาได้รับฉายาว่า “The Flash” ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ขึ้นสังเวียน เขาได้รับสายดำในปี 2545 และจากนั้นก็กลายเป็นหนึ่งในนักกีฬาปล้ำจับล็อกที่มีรางวัลติดมือมากที่สุดในรุ่นอายุเดียวกัน หลังจากคว้าแชมป์โลก IBJJF ถึง 3 สมัย
นอกจากทักษะด้านกีฬาการต่อสู้ที่เขาได้รับจากยิวยิตสูแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นคือมันช่วยให้เขาเติบโตในแบบลูกผู้ชาย ช่วยปลูกฝังระเบียบวินัย ความมั่นใจ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกเรื่อง
#เรียนรู้การใช้เวลาในสังเวียน
บราซิลเลียนยิวยิตสู เป็นวิชาพื้นฐานอันยอดเยี่ยมที่เขานำมาปรับใช้ในกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสานในเวลาต่อมา เมื่อครั้งเปิดตัวในฐานะนักกีฬาอาชีพครั้งแรก เขาก็สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ ด้วยการเผด็จศึกคู่ต่อสู้ในท่าล็อกคอ rear-naked choke ด้วยเวลาเพียง 31 วินาที
“บิเบียโน” พบว่าตัวเองยังอ่อนต่อโลกในกีฬาประเภทนี้อยู่มาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสองนักกีฬาระดับตำนาน เขาจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะวิชานี้ให้มากขึ้น จึงตัดสินใจร่วมฝึกกับ Revolution Fight Team ที่ แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา
“บิล มาฮูด (โค้ช) ช่วยเหลือผมหลายอย่าง เขาแนะนำว่าเมื่ออยู่บนสังเวียน อย่าใจร้อนรีบปิดเกม บางทีเราก็จำเป็นต้องใช้เวลาเรียนรู้ในนั้น คำแนะนำของเขาทำให้ผมได้กลับมาพัฒนาตัวเอง ผมเริ่มที่จะฝึกต่อสู้ในท่ายืนมากขึ้น ถ้าเขาไม่บอกผม ผมก็คงนอนสู้ด้วยวิชายิวยิตสูไปตลอดชีวิต”
“เดี๋ยวนี้เวลาผมอยู่ในกรง ผมจะพยายามดูเชิงคู่ต่อสู้ ผมสามารถเห็นหมัดพุ่งเข้ามา และคิดในใจว่าจะเผด็จศึกเขาตรงนี้ หรือตรงนั้นดี”
คำแนะนำของโค้ชมีส่วนให้เขากลายเป็นแชมป์โลก DREAM สองรุ่นน้ำหนัก ก่อนที่จะเซ็นสัญญาเป็นนักกีฬาของ วัน แชมเปียนชิพ ในปี 2555 และคว้าตำแหน่งแชมป์โลก ONE รุ่นแบนตัมเวตในปีถัดมา
นับแต่นั้น บิเบียโน ก็กลายเป็นนักสู้ซูเปอร์สตาร์ที่มีลีลาโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ วัน แชมเปียนชิพ พร้อมกับสั่งสมชัยชนะอย่างมากมาย และยังปราบนักสู้ตัวท็อปๆ ของรายการอย่าง “Situ-Asian” มาร์ติน เหงียน และ “Silencer” เควิน เบลิงกอน ได้อีกด้วย
#แรงใจสู่ความสำเร็จ
ความสำเร็จของ บิเบียโน มาจากจรรยาบรรณในการทำงานที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขามีความมุ่งมั่น และหมั่นที่จะปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ
“มีหลายคนที่พอได้เลื่อนไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ก็ขาดสมาธิ พอเป็นแชมป์แล้วก็ใช้ชีวิตแบบหละหลวม สนุกกับการใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมพยายามทำให้ดียิ่งขึ้นทุกๆ วัน”
นอกจากนี้ แรงกระตุ้นที่อยู่เบื้องหลังของเขาอย่างครอบครัว ที่มีภรรยา “อแมนดา” และลูกชายทั้งสาม ทำให้เขามีความพยายามที่จะประสบความสำเร็จเพื่อเป็นแบบอย่างในฐานะพ่อ และหัวหน้าครอบครัวที่มีศักยภาพในการเลี้ยงดูสมาชิกทุกคนให้มีความสุขและความมั่นคง
“ถ้าผมทำงานหนักและดูแลตัวเอง ผมก็สามารถดูแลครอบครัวของผมได้ ผมได้รับพรในฐานะที่เป็นพ่อคน มีโอกาสที่จะได้อบรมสั่งสอน การเป็นแชมป์โลกมันคืองาน ผมไปทำงานก็เพื่อจะได้มีรายได้มาเลี้ยงดูพวกเขา”
สิ่งที่ “บิเบียโน” ได้ตระเตรียมไว้ให้ลูก ๆ ในวันนี้ก็เพื่อให้พวกเขาไม่ต้องเผชิญความยากลำบากเหมือนอย่างที่เขาเคยผ่านมา และยังสอนให้ลูกๆ รู้จักคุณค่าของชีวิตผ่านศิลปะการต่อสู้ และให้พวกเขาตระหนักถึงการช่วยเหลือกันเพื่อให้โลกใบนี้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น
แม้ปัจจุบัน “บิเบียโน” จะไม่ได้ถือครองเข็มขัดแชมป์โลก ONE รุ่นแบนตัมเวต หลังจากพ่ายให้กับ “HANDS OF STONE” จอห์น ลินีเคอร์ เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ในศึก ONE LIGHTS OUT แต่ “บิเบียโน” ยังคงอยู่ในเส้นทางของการกลับไปทวงคืนเข็มขัดเส้นเดิมสมัยที่ 2 เนื่องจากเขามีแรงกิงอยู่ในตำแหน่งรองอันดับ 3 ของรุ่น
อย่างไรก็ดีสิ่งแรกที่ “บิเบียโน” ต้องทำให้ได้ก่อนหวังถึงการคืนบัลลังก์ คือ การปราบดาวรุ่งมาแรงอย่าง “THE SNIPER” สเตฟาน โลมาน ในไฟต์กำลังมาถึงนี้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่งานง่ายเพราะ “สเตฟาน” เองก็หวังโค่นตำนานชาวบราซิลลงให้ได้เพื่อลุ้นโอกาสไปท้าชิงแชมป์โลกในไฟต์ต่อไป
ติดตาม “บิเบียโน vs สเตฟาน” ONE Fight Night 4 ถ่ายทอดสด วันเสาร์ที่ 19 พ.ย.65 รับชมทาง
- watch.onefc.com เวลา 08.00 น.
- ยูทูบ ONE Championship เวลา 08.00 น.
- AIS Play (เฉพาะลูกค้า AIS) เวลา 08.00 น.
- ซื้อตั๋วเข้าชมในสนาม สิงคโปร์ อินดอร์ สเตเดียม ได้ที่ลิงก์นี้ bit.ly/ONENOVTIX
อ่านเพิ่มเติม: