“ปีเตอร์ บุยสต์” จากคนจร สู่นักสู้บนเวทีระดับโลก
“The Archangel” ปีเตอร์ บุยสต์ เติบโตขึ้นมาจากย่านที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม ยาเสพติด และความรุนแรงในประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่เขาก็หลีกหนีจากสังคมเหล่านั้นมาได้ด้วยการเดินหน้าสู่เส้นทางนักสู้ซึ่งไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ด้วยความศรัทธา ความเชื่อมั่นในตัวเอง และความมุ่งมั่น เขาก็สามารถก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ วัน แชมเปียนชิพ และวาดฝันว่าจะนั่งบัลลังก์แชมป์โลกให้ได้ในสักวัน
หลีกพ้นอบายมุข
บุยสต์ เป็นลูกคนที่สองในบรรดาพี่น้องชายล้วนสามคน ซึ่งเติบโตภายใต้การเลี้ยงดูของแม่ โดยอาศัยอยู่ในเมืองเบรดา ทางตอนใต้ของเนเธอร์แลนด์
“แม่ของผมเลี้ยงพวกเราเองตามลำพัง หลังจากที่แยกทางกับพ่อตอนที่ผมอายุ 3 ขวบ เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ชีวิตก็จะค่อนข้างลำบากหน่อยครับ”
“พวกเราอาศัยในย่านที่ไม่ดีนัก และแม่มีลูกชาย 3 คนที่ต้องดูแล พวกเราจึงอดมื้อกินมื้อ เงินทองมีไม่มากนัก แต่พวกเรามีความสุข และแม่ก็พยายามอย่างสุดกำลังของเธอ”
“ตอนนั้นย่านที่เราอยู่ เป็นย่านอันตรายอันดับ 2 ของประเทศ มีอาชญากรรมอยู่รอบตัว รวมถึงยาเสพติดและความรุนแรง”
ช่วงวัยเด็ก บุยสต์ ไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าไหร่นัก เขาไม่เชื่อว่านี่จะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับเขา
“เมื่อคุณมองรอบๆ ตัว คนที่มีรถดีๆ ขับ มีเงินทองเยอะๆ ล้วนแล้วแต่เป็นนักค้ายาทั้งนั้น และมันก็ง่ายกว่าถ้าผมจะเลือกเส้นทางนั้น แต่ทุกครั้งที่ผมกำลังจะไขว้เขวก็เหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นเพื่อเตือนสติ เช่น เพื่อนโดนลักพาตัว โดนแทง ไม่ก็โดนยิง ดังนั้น ผมจึงอยู่ห่างจากเส้นทางนี้”
จากจินตนาการสู่ความจริง
ในฐานะแฟนตัวยงของการ์ตูน Dragon Ball Z และภาพยนตร์ของบรูซ ลี ทำให้ บุยสต์ ตกหลุมรักในศิลปะการต่อสู้ แต่จุดประสงค์ของการเรียนจริงๆ ก็เพื่อปกป้องตัวเองจากสภาพแวดล้อมในชุมชนที่เป็นอยู่
“ทุกคนฝึกวิชาการต่อสู้กันทั้งนั้น จึงจำเป็นที่เราต้องป้องกันตัวเองให้เป็น ผมเริ่มเรียนซ้อมยูโดตอนอายุ 6 ขวบ และคิดว่ามันสนุกดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผม”
เขาได้ค้นพบสิ่งที่เขาสนใจเมื่อเปิดทีวีดูหนังกังฟู แต่เขากลับได้รับชมการแข่งขันคิกบ็อกซิ่งระดับสูงที่จบลงด้วยชัยชนะของฮีโร่ร่วมชาติที่คว้าเข็มขัดแชมป์ไปครอง
“ผมเห็น แอร์เนสโต ฮูสต์ เอาชนะ เจโรม เลอ แบนเนอร์ คว้าแชมป์ K-1 กรังด์ปรีซ์ไปครอง ผมคิดว่า ‘ว้าว ดูเงินที่เขาได้สิ’ และผมคิดว่านั่นแหละคือสิ่งที่ผมจะทำ”
“หลังฝึกยูโด ผมไปเรียนคิกบ็อกซิ่งต่อตอนอายุ 12 ปี ผมเริ่มที่ชั้นผู้ฝึกใหม่ แต่โค้ชเดินมาหาแล้วบอกว่าผมมีฝีมือที่ดีอยู่แล้ว สามารถขยับขึ้นไปเรียนชั้นโปรได้เลย ผมโดนไล่เตะก้นเป็นประจำ แต่ผมก็มีความสุขนะ มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกว่าผมมีอะไรดีสักอย่าง”
เพียง 3 สัปดาห์ บุยสต์ ก็ได้ลงแข่งขันและคว้าชัยตั้งแต่ไฟต์แรก แม้เขาจะไม่มีเงินสำหรับค่าเรียน แต่เขาก็หาทางออกโดยแลกกับการทำงานให้กับค่ายในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์
เขาลงสนามคิกบ็อกซิ่งมากกว่า 100 ครั้ง ก่อนจะหันไปฝึกการต่อสู้แบบผสมผสานอย่างจริงจัง ด้วยภูมิหลังการต่อสู้ที่มีอยู่เดิม
“ผมมีความสนใจในการต่อสู้แบบผสมผสานมาตลอด เนื่องจากผมเป็นแฟนตัวยงของ Pride และ Genki Sudo แต่เทรนเนอร์บอกว่าผมต้องเรียนรู้เรื่องการยืนสู้ก่อน”
“ผมเริ่มโฟกัสกับการต่อสู้แบบผสมผสาน ผมชอบมันเพราะมันมีหนทางที่สามารถเอาชนะได้ แม้คุณจะไม่ใช่นักสู้ที่ตัวใหญ่ที่สุดหรือนักกีฬาก็ตาม”
แสงไฟในความมืดมน
แม้เขาจะมีพรสวรรค์ แต่ก็มีช่วงขาลงของชีวิตที่ทำให้เขาหลุดออกจากเป้าหมาย บุยสต์ จำต้องออกจากบ้าน และเขาไม่มีที่ไหนให้ไป
“ผมต้องออกจากบ้านตอนอายุ 22 ปีเนื่องจากปัญหาทางการเงิน ผมต้องไปนอนตามท้องถนนอยู่หลายสัปดาห์ บางทีก็นอนบ้านเพื่อนบ้าง หรือตามสวนสาธารณะบ้าง”
“เอาจริงๆ นะ ผมรู้สึกละอายมาก ผมไม่มีอะไรเหลือเลยนอกจากหนี้ ผมไม่มีการศึกษา อาชีพนักสู้ตอนนั้นก็ยังไม่ดีนัก ผมมองไม่เห็นอนาคตเลย”
“ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมอยู่ที่บ้านแฟน ผมนั่งร้องไห้อยู่บนเตียง และผมก็นึกถึงอะไรบางอย่าง”
“ผมเป็นคนเคร่งศาสนา ผมรู้สึกว่าพระเจ้าพูดกับผมว่า ‘ตอนนี้คุณเห็นแล้วว่ามีสองทางเลือก ด้านซ้ายกับด้านขวา ผิดกับถูก คุณสามารถเลือกที่จะเป็นอาชญากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก หรือเป็นนักสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก’”
“ผมต้องการเป็นคนดีและเป็นนักสู้ที่ยอดเยี่ยม ในตอนนั้นผมได้วางแผนในแต่ละก้าวของชีวิต แบบที่คนประสบความสำเร็จเขาทำกัน และผมก็ทำมันสำเร็จด้วย
“ผมตั้งใจมาก ผมเรียนจบ ได้ทำงานเป็นคนเก็บขยะ ผมใช้หนี้สินจนหมด และผมมีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง แม้ต้องทำงานอย่างหนัก และมีความล้มเหลวบ้าง แต่ผมก็รู้สึกว่าพระเจ้าคอยช่วยเหลือผม และผมก็เชื่อในตัวเองอยู่เสมอ”
รางวัลความตั้งใจ
“บุยสต์” ต้องทำงานถึง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ บวกกับตารางการฝึกซ้อมอันเข้มข้น แต่เขาไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง แม้ว่าจะมีอุปสรรคยากลำบากเพียงใดก็ตาม
“บางครั้งผมรู้สึกว่า โอเค นี่อาจจะสุดทางสำหรับผมแล้ว ผมจะใช้อาชีพนี้เลี้ยงตัวเอง แต่ผมไม่เคยมีความสุขที่แท้จริงเลย ผมหมั่นฝึกซ้อมวันละครั้งหรือสองครั้ง มันเป็นอะไรที่ยากและบางครั้งผมได้แต่สงสัยว่าผมทำแบบนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อผมคว้าแชมป์ยุโรปได้ ผมเริ่มทำงานน้อยลงและฝึกซ้อมมากขึ้น”
หลังจากกำชัยชนะกว่า 12 ครั้ง บุยสต์ ได้เข้าร่วมสังกัด วัน แชมเปียนชิพ ท่ามกลางเหล่านักสู้ที่เก่งกาจที่สุดในโลก และเปิดตัวอย่างยอดเยี่ยมด้วยชัยชนะอันน่าประทับใจถึง 2 ครั้ง
“ผมทุ่มเทอย่างหนัก และยอมล้มเลิกทุกอย่างกว่าจะมาถึงจุดนี้ แน่นอนว่ามันเป็นอะไรที่ดี แม้จะยังไม่ถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้ สำหรับผมมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”
“ผมจะเริ่มฉลองให้กับตัวเองเมื่อผมอายุ 40 ปี โดยทำทุกอย่างที่ผมอยากทำให้สำเร็จ มีเงินให้ครอบครัวและทำให้ทีมีฐานะการเงินที่ดีขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นผมถึงจะนั่งพัก มองย้อนกลับไปแล้วพูดว่า “ผมนี่โคตรเจ๋งเลย”
อ่านเพิ่มเติม : “ปีเตอร์ บุยสต์” ขอไม่เกินสองยก…สยบ “เอดูอาร์ด โฟลายัง”