“พันธ์พยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์” ยอดมวย 3 พ.ศ. เปิดใจ ได้ดีวันนี้เพราะมีพ่อ!
หนึ่งในนักชกหนุ่มที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ในฐานะยอดมวย 3 พ.ศ.คนแรกและคนเดียวของประเทศไทย “พันธ์พยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์” เปิดใจถึงเส้นทางความสำเร็จ “ได้ดีวันนี้เพราะมีพ่อ!” เนื่องในโอกาส วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม
“ยอดมวย 3 พ.ศ.” พันธ์พยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์ เจ้าของรางวัลอันสูงส่งซึ่งเป็นที่หมายปองของนักกีฬามวยไทยทุกคนนั่นคือ นักมวยไทยยอดเยี่ยม ของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย 3 ปีซ้อน (พ.ศ.2556-2558) โดยรับรางวัลเป็นถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (อันเป็นพระราชอิสริยยศในสมัยนั้น) ตั้งแต่วัยเพียง 17 ปี
เบื้องหลังความสำเร็จบนจุดสูงสุดของเขา เจ้าตัวยอมรับว่าส่วนสำคัญนั้นมาจากพ่อ “นายสุเทพ แสงเงิน” ปัจจุบันอายุ 71 ปีที่เป็นผู้ปลูกฝัง ความรักมวยไทย ให้เขามาตั้งแต่วัยเด็ก
คุณพ่อสุเทพ ชอบดูมวยเป็นชีวิตจิตใจ และได้ถ่ายทอดความรักมวยไทยให้ลูกๆ ทั้ง 4 คนตั้งแต่ยังเด็ก สมัยพันธ์พยัคฆ์อายุเพียง 3-4 ขวบ ก็จูงกันไปดูมวยตามชนบทที่ใช้ผ้าล้อมชก จนซึมซับและกลายเป็นความชอบ พอมาหัดมวยจึงทำให้เขาเรียนรู้ได้เร็วขึ้น ยิ่งได้เห็นพี่ชายต่างแม่ (คมพยัคฆ์) ซึ่งเป็นนักมวยก็ยิ่งทำให้เขาเห็นเป็นตัวอย่าง
“ครอบครัวเราจนมาก ผมจึงต้องพยายามสอนให้ลูกทำงานในสิ่งที่เขาทำได้เพื่อมีรายได้มาจุนเจือครอบครัว ซึ่งการฝึกมวยมันไม่ต้องลงทุนมาก ไม่เหมือนว่ายน้ำ ยิงปืน ตีกอล์ฟ ซึ่งค่าใช้จ่ายสูง แต่การฝึกมวยอาศัยแค่ตัวกับหัวใจก็ซ้อมได้แล้ว ผมหุ้นกับเพื่อนคนละสามร้อย ห้าร้อย เอาไปซื้ออุปกรณ์มาให้ลูก แล้วผมเอาประสบการณ์ตัวเองที่ดูมวยจากทีวีเป็นประจำมาสอนลูก โดยให้แม่เขาเป็นคนล่อเป้า”
“แรกๆ ผมก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะเก่ง แต่มันเป็นพรสวรรค์บวกกับความมีระเบียบวินัย จึงทำให้เขาพัฒนาและอยู่ในขั้นที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ สำหรับลูกผมทุกคนทั้ง คมพยัคฆ์ พยัคฆ์น้อย พันธ์พยัคฆ์ และเขี้ยวพยัคฆ์ สิ่งที่ผมสอนเขาคือ แม้เราจะเหนื่อยแต่ต้องอดทน เพราะมวยสามารถเปลี่ยนชีวิตและอนาคตของเราได้ ให้ดูนักมวยรุ่นเก่าๆ เป็นตัวอย่างเช่น สมรักษ์, สามารถ, แสนศักดิ์, พุฒิ ล้อเหล็ก พวกเขาก็มาจากครอบครัวที่ลำบากแต่สามารถประสบความสำเร็จในอาชีพนักมวยได้”
“เคยมีคนสบประมาทว่าเราจะไปสู้ค่ายใหญ่ได้ยังไง เขามีอุปกรณ์ มีเทรนเนอร์ แต่ตอนนั้นผมคิดว่าผมยังไม่อยากให้ลูกไปอยู่กับค่ายไหน เพราะผมอยากอยู่กับลูก ไม่อยากห่างกัน เลยตัดสินใจที่จะซ้อมกันเอง จนได้มาอยู่ที่ค่ายจิตรเมืองนนท์ ซึ่งทางพี่อ้วนและเจ๊เอ (สุรเนตร ด่านประภา-สุนทรี โลหะพืช) ให้ผมและภรรยามาทำงานที่นี่ จึงได้อยู่กับลูกๆ”
“สำหรับผม ลูกไม่ต้องแสดงความรักกับพ่อหรอก ขอให้เขาตั้งใจทำในสิ่งที่พ่อรัก (มวยไทย) บางทีมีเมื่อยล้า ขี้เกียจ ขออย่าได้ทำ ลูกแพ้พ่อก็แพ้ด้วย ลูกชนะพ่อก็ชนะด้วย ขอให้เขาขยันซ้อมมวย ผมก็ดีใจแล้ว ทุกวันนี้ผมภูมิใจในตัวลูกมากที่เขาไม่ไปเที่ยวในที่อโคจร ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และเป็นลูกที่มีความกตัญญู”
ด้านพันธ์พยัคฆ์เล่าเสริมว่า “พ่อสอนผมเสมอให้เป็นคนรู้จักอ่อนน้อมแต่ไม่อ่อนแอ ต้องมีระเบียบวินัย ขยัน และอดทนให้มาก สมัยเด็กๆ ผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อออกมาวิ่ง จากนั้นก็ล่อเป้าจนถึง 6 โมงเช้า อาบน้ำกินข้าวแล้วถึงได้ไปโรงเรียนแบบนี้เป็นประจำทุกวัน บางครั้งผมก็มีเหนื่อย มีขี้เกียจ มีอู้บ้าง แต่ผมกลัวพ่อเพราะพ่อดุมาก ผมก็ทำตามที่พ่อบอก”
“พอผมโตขึ้นความกลัวมันก็ลดน้อยลงแต่ยังคงมีความเกรงใจ และที่สำคัญคือผมได้เห็นชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่พ่อพร่ำสอนและเข้มงวดนั้น มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้ดีจนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ถ้าพ่อผมไม่เป็นแบบนี้ผมก็อาจเป็นแค่เด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง”
สำหรับ พันธ์พยัคฆ์ กับพ่อ แค่มองตาก็รู้ใจ ก่อนที่เขาจะแต่งงานไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นเขายังคงนอนห้องเดียวกับพ่อ นอนกอดพ่ออยู่เป็นประจำทุกคืน ซึ่งการกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่า “พ่อ-ลูก” คู่นี้เขามีความรักและปรารถนาดีต่อกันมากแค่ไหน
อนาคตบนผืนผ้าใบใน วัน แชมเปียนชิพ ซึ่งเป็นเวทีดวงดาวอันเป็นความใฝ่ฝันของนักกีฬาการต่อสู้ทั่วโลก เมื่อ “พันธ์พยัคฆ์” มีโอกาสแล้ว บวกกับมีพ่อผู้เป็นแรงผลักดัน เชื่อว่าการที่จะก้าวสู่จุดสูงสุดบนเวทีระดับโลกจะไม่ไกลเกินกว่าที่เขาจะไขว่คว้าอย่างแน่นอน