“มาร์ติน เหงียน” คุณพ่อนักสู้ เมื่อต้องอยู่ห่างไกลครอบครัวเพื่อรักษาแชมป์โลก
ขณะที่ “The Situ-Asian” มาร์ติน เหงียน กำลังเตรียมตัวป้องกันแชมป์โลก ONE รุ่นเฟเธอร์เวต ในวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคมนี้ เขาก็ได้เปิดใจถึงความทุ่มเทอย่างหนักเพื่อชัยชนะครั้งนี้ รวมถึงแรงใจที่ยอดเยี่ยมที่สุดนั่นก็คือครอบครัว
ด้วยบททดสอบที่หนักที่สุดในอาชีพของเขากับนักสู้ชาวญี่ปุ่น “Moushigo” โคโยมิ มัตสึชิมา ที่รออยู่ในศึก ONE: DAWN OF HEROES ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ มาร์ติน เหงียน ได้เดินทางกลับไปยังอเมริกาเพื่อฝึกปรือฝีมือที่ Hardknocks 365 อีกครั้ง
หลังจากใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์ที่ฟลอริดา นักสู้ชาวเวียดนาม-ออสเตรเลียเชื่อว่าฝีมือของเขาเฉียบคมมากกว่าครั้งไหน แต่การต้องบินไกลครึ่งโลก หมายถึงการต้องห่างไกลจากภรรยา “บรู๊ค” และลูกๆ ทั้ง 3 คนที่รออยู่ที่ ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
🚨 "The Situ-Asian" is BACK 🚨ONE featherweight 👑 Martin "The Situ-Asian" Nguyen puts his World Title on the line against Japanese dynamo Koyomi Matsushima on 2 August! 🗓: Manila | 2 August | 7PM | ONE: DAWN OF HEROES🎟: Get your tickets at 👉 http://bit.ly/oneheroes19📺: Check local listings for global TV broadcast📱: Watch on the ONE Super App 👉 http://bit.ly/ONESuperApp 👨💻: Prelims LIVE on Facebook | Prelims + 2 Main-Card bouts LIVE on Twitter
Posted by ONE Championship on Friday, July 12, 2019
“สิ่งหนึ่งที่ผมคิดถึงที่สุดในตอนที่ผมอยู่ที่ฟลอริดาก็คือครอบครัว”
“เมื่อถึงเวลาซ้อม ก็ต้องทำในสิ่งที่ควรทำ แต่ผมอยากมีครอบครัวอยู่ข้างๆ ผมรักการเป็นพ่อ เช่นเดียวกับการเป็นนักกีฬา”
“ผมเป็นคนรักครอบครัว ผมชอบทำหลายสิ่งหลายอย่างกับพวกเขา แต่การต้องอยู่ห่างไกล ทำให้ผมไม่สามารถส่งลูกๆ ไปโรงเรียน ไปรับกลับบ้าน ส่งเข้านอน มันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่บางคนอาจไม่ใส่ใจ”
เหงียน เป็นทั้งนักสู้ที่มีความมุมานะและยังเป็นหัวหน้าครอบครัวผู้เสียสละ บ่อยครั้งที่ทั้ง 2 อย่างมันไปพร้อมกันไม่ได้ แต่นักสู้วัย 30 ปียังโชคดีที่มีครอบครัวคอยสนับสนุน และเข้าใจในตัวเขาเป็นอย่างดี
อันที่จริงแล้วเป็นทางด้าน บรู๊ค เองด้วยซ้ำที่คะยั้นคะยอให้ มาร์ติน เหงียน เดินทางไกลถึง 15,000 กิโลเมตรเพื่อไปฝึกฝนฝีมือ
“เธอเป็นคนที่ยุผมให้เดินทางข้ามทวีป และทำให้ผมก้าวเดินออกจากคอมฟอร์ตโซน ผมรู้สึกซาบซึ้งและต้องขอบคุณเธอมากๆ ที่รับผิดชอบในการดูแลลูกๆ อย่างดี ซึ่งเราเหมือนทำงานกันเป็นทีม”
“เธอบอกผมว่า ‘คุณจำเป็นต้องเดินหน้า จากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตของคุณต่อ คุณจำเป็นต้องเติบโตในฐานะนักกีฬาเพื่อดูแลครอบครัว'”
เขาอาจจะไม่ได้อยู่ดูแลครอบครัวอย่างใกล้ชิด แต่ขณะที่เขาอาศัยอยู่ในทวีปอื่น มาร์ติน เหงียน ก็พยายามช่องทางในการมีส่วนร่วมกับความเป็นอยู่ของลูกๆ ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้พวกเขาได้เห็นหน้ากัน และสัมผัสถึงความรักที่มีให้กันเสมอๆ
“ผมอาจจะอยู่ที่นี่ ฝึกซ้อมจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่ผมก็ยังคงฝากหัวใจเอาไว้กับเธอตลอด”
“ลูกๆ ของผมอาจไม่ได้มีพ่ออยู่ข้างๆ และภรรยาอาจต้องการกำลังใจในวันแย่ๆ ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่ทำให้เราเห็นหน้ากันทุกวัน ผมยังอยู่เคียงข้างเธอเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอและลูกๆ อยากคุยกับผม”
“พวกเขามีไอแพด ผมจึงสามารถโทรหาพวกเขาได้โดยตรง พูดคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในแต่ละวัน กล่าวสวัสดีตอนเช้า และดูว่าเขาเป็นอย่างไรที่โรงเรียน”
มาร์ติน เหงียน ตระหนักถึงคุณค่าของการเป็นคุณพ่อที่แข็งแกร่ง พ่อแม่ของเขาเคยใช้ชีวิตผ่านสงครามเวียดนาม ก่อนที่จะย้ายมาตั้งรกรากที่ออสเตรเลียเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งพวกเขาต้องแลกมาด้วยการตรากตรำอย่างหนัก
น่าเสียดายที่พ่อของเขาเสียชีวิตไปเมื่อปี 2556 และไม่มีโอกาสได้เห็นเขาก้าวสู่ความสำเร็จในระดับสูงเช่นนี้ แต่เขาก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากพ่อ และต้องการที่จะสานต่อแบบอย่างของการดูแลครอบครัว
“เรื่องราวการเดินทางที่ผ่านมาของพ่อ ตั้งแต่การเริ่มสร้างชีวิตใหม่ให้ครอบครัว ผมนำมาใช้เป็นแบบอย่างในการสร้างครอบครัวของผมให้ดีที่สุด จิตใจที่เข้มแข็งของพ่อ ได้ส่งผ่านมายังตัวผมด้วย”
แม้ต้องห่างไกลครอบครัว แต่ผลรวมของความเข้าใจกัน ทัศนคติเชิงบวก และแบบอย่างที่ดีจากพ่อ ทำให้ มาร์ติน เหงียน พุ่งสมาธิไปยังเป้าหมายของเขาทั้งในระยะยาวและระยะสั้น ซึ่งทั้งหมดเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับครอบครัว
“มันจะเป็นสิ่งที่มีค่าในท้ายที่สุด มันขึ้นอยู่กับตัวผมที่จะปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ เป็นโอกาสที่ผมจะก้าวทะยานไปข้างหน้าในฐานะนักกีฬา”
“ลูกๆ ของผมตระหนักได้ถึงสิ่งที่ผมทำ ผมได้อธิบายให้พวกเขาฟังว่าทำไมผมต้องไปที่ฟลอริดา ผมจำเป็นต้องฝึกซ้อมกับบรรดานักสู้เก่งๆ ซึ่งพวกเขาก็เข้าใจว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้เป็นแชมป์โลก และป้องกันแชมป์โลกเอาไว้ได้”