ศิลปะการต่อสู้ช่วยให้ “มาซาฮิเดะ คูโด” รู้จักความหมายของชีวิต
“Crazy Rabbit” มาซาฮิเดะ คูโด คือหนึ่งในนักกีฬาคิกบ็อกซิ่งที่แฟนๆ จับตามอง โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นอันเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา จากการน็อกเอาต์และลีลาสุดมัน
แชมป์ REBELS มวยไทย และ RISE รุ่นเฟเธอร์เวต สั่งสมชื่อจากนักชกโนเนมกลายเป็นขวัญใจแฟนๆ ด้วยลีลาความบู๊ดุดันและหมัดอันทรงพลังที่สามารถเอนเตอร์เทนแฟนๆ ได้เสมอ
หลังประสบความสำเร็จในบ้านเกิด บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้พิสูจน์ฝีมือในเวทีระดับโลก โดยมีคิวพบแชมป์โลกมวยไทย 5 สมัย “พันธ์พยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์” ในศึก ONE: IMMORTAL TRIUMPH
ก่อนที่คู่สุดมันในการแข่งขัน วัน ซูเปอร์ ซีรีส์ มวยไทย รุ่นฟลายเวตจะเริ่มขึ้นในวันศุกร์ที่ 6 กันยายนนี้ ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เรามาดูเส้นทางการเป็นนักกีฬาระดับโลกของ คูโด กัน
ค้นหาตัวเอง
คูโดเกิดที่เมืองทากาซากิ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดกุนมะ ภูมิภาคคันโต ประเทศญี่ปุ่น
การเลี้ยงดูแบบอิสระ แต่ก็ทำให้เขาขาดการโฟกัสในเรื่องการเรียนที่โรงเรียนในชนบท จนทำให้เขาไม่รู้ว่าจะเดินในทิศทางไหน
“ผมเป็นคนสนุกสนาน ชอบเรื่องตลก และมักจะคลุกคลีกับเพื่อนๆ แต่เรื่องที่ยากที่สุดคงหนีไม่พ้นการเรียน”
“ผมเข้าเรียน แต่อะไรๆ ก็ไม่ค่อยเข้าสมอง เรียกว่าเกลียดเลยก็ว่าได้ ผมไม่ได้คิดเรื่องของอนาคตมากนัก แค่หวังให้จบมัธยมปลาย แล้วก็ออกมาหางานทำเป็นเรื่องเป็นราวไป“
แม้พี่ชายจะชวนไปเล่นเบสบอลตั้งแต่ชั้น ป.3 แต่เขากลับไม่สนใจเรื่องกีฬาและไม่มีแววที่จะมาทางนี้เลย จนกระทั่งได้เห็นการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ทางหน้าจอโทรทัศน์
“ผมชอบรายการ K-1 มากๆ ในตอนนั้น เรียกว่าเกาะติดหน้าจอเลยก็ว่าได้ เลยตัดสินใจเริ่มเรียนคิกบ็อกซิ่งที่จังหวัดบ้านเกิด แต่ก็เรียนเหมือนเป็นงานอดิเรกนะครับ”
โอกาสทอง
หลังจบชั้นมัธยมปลาย คูโด ย้ายไปอยู่กรุงโตเกียว และเริ่มทำงานในร้านเบเกอรีเพื่อหาเลี้ยงชีพ และเริ่มชีวิตอีกด้านที่ Shinjuku Lefty Gym หนึ่งในโรงยิมคิกบ็อกซิ่งที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น
ที่โรงยิมมีนักกีฬาคิกบ็อกซิ่งอาชีพอยู่ราว 10 คน ความทะเยอทะยานของพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ คูโด ลุกขึ้นมาสร้างเป้าหมายใหม่ให้กับชีวิต
“งานที่ร้านเบเกอรี มันก็แค่งาน ผมทำไปตามหน้าที่ แต่ผมตระหนักว่า ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ชีวิตคงสูญเปล่า”
“นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเริ่มเอาจริงกับอะไรซักอย่าง ที่กรุงโตเกียว ผมจึงทำงานและซ้อมอย่างหนัก และผมคิดว่า ลองลงสนามแข่งซักหน่อยก็ดีเหมือนกัน จึงตัดสินใจลาออกจากงานเดิมเพื่อมาเป็นนักกีฬาคิกบ็อกซิ่งอาชีพของ Lefty Gym“
ณ จุดนั้น เขารู้ตัวแล้วว่าความหลงใหลในกีฬาน่าจะช่วยผลักดันให้เขาทำเงินได้ รวมถึงค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญของชีวิต
“Crazy Rabbit” ย้ายมาเป็นนักเรียนประจำที่ยิมแห่งนี้แบบไม่ต้องเสียค่าเช่า พร้อมกับรับงานฝีกสอนหลังว่างเว้นจากการซ้อม
ถือเป็นวิถีชีวิตที่น้อยคนนักอยากกระโจนเข้ามา แม้ว่าจะต้องซ้อมหนัก ถูกต่อยร่วงคาเวทีจนเป็นเรื่องปกติ แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้ทักษะของ คูโด พัฒนาขึ้นตามลำดับ
“จริงๆ ตอนแรกมีหลายคนที่กินนอนในโรงยิมเหมือนผม แต่พวกเขาถอดใจอย่างรวดเร็ว ที่สุดก็เหลือแค่ผมเท่านั้นที่เป็นนักเรียนประจำของที่นี่”
“พวกเราซ้อมในตอนเช้า จากนั้นผมก็ทำงานเป็นครูฝึก ก่อนมาซ้อมอีกรอบตอนบ่าย และกลับมาทำงานครูฝึกอีกรอบ ปิดท้ายด้วยการซ้อมตอนกลางคืน ช่วงนั้นผมไม่ค่อยมีเงินมากนัก แต่ความแข็งแกร่งทางจิตใจของผมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละชีวิต”
“ผมบอกกับหัวหน้าค่ายว่า ผมจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะเป็นแชมป์ และในปี 2015 ผมก็คว้าแชมป์ของ REBELS ได้สำเร็จ ผมถึงออกมาอยู่เอง”
“ผมดีใจมากที่ได้เป็นแชมป์ ที่ผ่านมาผมเคยเล่นเบสบอลและอีกหลายอย่าง แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร ผมจึงรู้สึกปลื้มมากกับการคว้าแชมป์แรก และจารึกชื่อตัวเองในหน้าประวัติศาสตร์ได้”
“นั่นเป็นการขึ้นชิงแชมป์ครั้งแรกของผม ดังนั้นความกดดันจึงสูงและผมก็เป็นกังวลมาก แต่นั่นก็ช่วยให้ผมโฟกัส จนประสบความสำเร็จ“
ความสงสัยและการถดถอย
การแข่งขันคิกบ็อกซิ่งอาชีพนั้นไม่ใช่กีฬาสำหรับคนใจเสาะ และ คูโด จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าจิตใจตัวเองเข้มแข็งพอที่จะผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากได้
เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บระหว่างการชกตั้งแต่ช่วงต้นอาชีพ การหยุดซ้อมเพื่อรักษาตัวทำให้สูญเสียแรงขับเคลื่อนในชีวิต แต่ที่สุดแล้ว เขาก็สามารถเรียกจิตวิญญาณนักสู้กลับมาได้
“ตอนที่กระดูกเบ้าตาแตกคงเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดแล้ว มันเกิดขึ้นในรอบแรกของทัวร์นาเมนต์ REBELS รุ่น 55 กิโลกรัม ไฟต์ที่พบกับ มาซาฮิโกะ ซูซูกิ แชมป์ RISE คนปัจจุบัน หมัดเขาหนักจริงๆ”
“แรงจูงใจผมหดหายไปเลย แต่ด้วยการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมทีม ผมก็กลับมาฟื้นตัว และมีใจสู้ต่ออีกครั้ง“
หลังจากการคว้าเข็มขัดแชมป์มาครอง นักสู้จากค่าย Shinjuku Lefty Gym ก็ประสบความพ่ายแพ้ต่อเนื่อง 2 ครั้ง เขาจึงเริ่มตั้งคำถามถึงอนาคตของตัวเอง แต่เพื่อนร่วมทีมกับครอบครัวได้ให้กำลังใจเขามาโดยตลอด
“ตอนนั้นผมแพ้น็อกยกแรกในรายการ BLADE FC Cup ก่อนแพ้อีกครั้งในศึก REBELS กับคู่ชก อิซากุ โอกาซาวาระ ด้วยเวลาไม่ถึง 2 นาที”
“มันทำให้ผมคิดว่าคงถึงเวลาต้องเลิกแล้ว ผมตัดสินใจคุยกับหัวหน้าค่าย เคนอิชิ ฮามากาวา ว่าจะเลิกชก แต่เขาพูดให้กำลังใจผม”
“พ่อแม่ของผมให้การสนับสนุนผมเสมอ รวมถึงเพื่อนๆ ก็อยากเห็นผมสู้ต่อ ทุกเสียงรอบข้างทำให้ผมเปลี่ยนใจ ซึ่งผมต้องขอบคุณทุกคนจากใจจริง“
ความสนุกและอนาคต
คูโด คว้าเข็มขัดแชมป์เส้นที่สองของรายการ RISE รุ่นเฟเธอร์เวต เมื่อเดือนมิถุนายนปีก่อน
องค์กรคิกบ็อกซิ่งของญี่ปุ่นแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในแหล่งรวมนักกีฬาชั้นแนวหน้าจากทั่วโลก และนั่นทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักกีฬาชั้นนำ
เขายังถือเป็นหนึ่งในขวัญใจแฟนๆ ด้วยลีลาสุดตื่นเต้นเร้าใจ เหมือนกับไอดอลของเขา แชมป์โลก K-1 Max 2 สมัย มาซาโตะ
“สำหรับผม มาซาโตะนั้นยิ่งใหญ่มาก เขาเจ๋ง และเป็นประเภทบู๊ดุดัน”
“การแลกอาวุธคือส่วนที่สนุกที่สุดในกีฬาคิกบ็อกซิ่ง มันเป็นสิ่งที่คุณทำไม่ได้ในชีวิตประจำวัน มันมีทั้งพลังงาน, ความสนุก และเมื่อคุณชนะ ผู้คนรอบข้างต่างมีความสุข นี่แหละคือทั้งหมดของกีฬา”
ชัยชนะ 13 จาก 19 ครั้งของ “Crazy Rabbit” เกิดขึ้นจากการน็อกเอาต์ และการเป็นขวัญใจแฟนๆ ทำให้เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ วัน ซูเปอร์ ซีรีส์ และตอนนี้เขากำลังมองไปที่การสร้างชื่อในเวทีระดับโลก
หลังคว้าชัย 2 ไฟต์อย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาโฟกัสที่จะเอาชนะ “ยอดมวย 3 พ.ศ.” ชาวไทยอย่าง “พันธ์พยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์” รวมทั้งนึกถึงนักชกคนอื่นๆ ในรุ่นด้วย
“ผมอยากเจอกับรถถัง การชกของเขาสนุกมาก และถ้าได้เจอกับผมคงสนุกน่าดูเลย”
“รถถังมีจุดเด่นที่พละกำลังมากกว่าเทคนิค แถมยังมีสไตล์ดุดัน ผมจึงอยากเจอกับเขา และผมยังอยากเจอนักสู้ชาวอเมริกันด้วย ผมเชื่อว่าน่าจะได้แลกอาวุธกันสนุกให้แฟนๆ ถูกใจแน่”