ศิลปะการต่อสู้เปลี่ยนชีวิต “คริส เหงียน” สู่ความกร้าวแกร่งและมั่นใจ
ศิลปะการต่อสู้ได้ให้อะไรกับ “คริส เหงียน” มามากมาย และในวันศุกร์ที่ 6 กันยายน มันก็จะส่งเขาไปยังเวทีระดับโลกในศึก ONE: IMMORTAL TRIUMPH
ที่นครโฮจิมินห์ นักสู้วัย 27 ปี จะได้เผชิญหน้ากับ “ยูกิโนริ โอกาซาวาระ” จากญี่ปุ่น ในการแข่งขัน วัน ซูเปอร์ ซีรีส์ มวยไทย
ไฟต์นี้ เหงียน ได้รับโอกาสให้ขึ้นสังเวียนต่อหน้าผู้ชมจำนวนมากที่สุดในเส้นทางอาชีพของเขา และถือเป็นการขึ้นสังเวียนในประเทศแม่อีกด้วย
ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่เวที ONE เป็นครั้งแรก นักชกตัวแทนประเทศออสเตรเลีย-เวียดนาม ได้เปิดใจถึงการเดินทางในอาชีพนักสู้ ก่อนที่ฝันของเขาจะกลายเป็นจริงในวันนี้
ตัวตนแห่งเวียดนาม
เหงียน เกิดและเติบโตที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสถานที่ที่พ่อแม่และปู่ย่าของเขาย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากใหม่
“ครอบครัวของผมมาอยู่ที่นี่ระหว่างช่วงสงครามเวียดนามในฐานะผู้อพยพ ผมเกิดและเรียนหนังสือที่นี่”
ชีวิตไม่เคยง่ายสำหรับชาวต่างด้าวที่ต้องการเริ่มต้นชีวิตในต่างประเทศ แต่พ่อแม่ของ เหงียน พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีในประเทศแห่งนี้
พ่อแม่ของเขาทำงานในโรงงานรถยนต์ที่ออสเตรเลีย และพวกเขาได้อบรมสั่งสอนให้ลูกชายอุทิศตนเพื่อประสบความสำเร็จในชีวิต
“ครอบครัวของผมทำงานกันหนักมาก เพื่อเกื้อกูลกันและกัน”
ความมั่นใจจากคิกบ็อกซิ่ง
วันเก่าๆ ในโรงเรียนของ เหงียน เต็มไปด้วยการถูกรังแก ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเข้าเรียน ซึ่งมันส่งผลต่อความมั่นใจของเขาอย่างมาก
การข่มเหงรังแกนั้นย่ำแย่ถึงขนาดที่ผู้ปกครองของเขาต้องถูกเชิญมายังโรงเรียน เพื่อช่วยกันหาคำตอบว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เพื่อเรียกความมั่นใจของ เหงียน กลับคืนมา
“ผมไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสือ ครูจึงเชิญผู้ปกครองมาพบเพื่อถามว่าผมควรทำอะไรนอกเวลาเรียน ที่ผมสนใจ”
“ผมอยากฝึกคิกบ็อกซิ่งมาโดยตลอด และนั่นก็ได้เป็นตัวจุดประกายให้กับพ่อแม่ของผม”
เดิมที เหงียน เคยบอกพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาไม่เห็นด้วยเพราะเกรงว่า เหงียน จะได้รับบาดเจ็บ
สุดท้ายเขาก็โน้มน้าวพ่อได้สำเร็จ เขาได้รับอนุญาตให้เข้าค่ายมวยในท้องถิ่นกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
“ตอนแรกพ่อแม่บอกว่า ไม่เอา มันอันตราย แต่ผมก็พยายามอ้อนเขา ผมขอพ่อ ร้องไห้จนหลับ และเมื่อตื่นขึ้นมา พ่อก็บอกว่า ก็ได้ ไปลุยเลย”
“ตอนที่ผมไปดูเพื่อนขึ้นชก ผมเห็นได้ว่าเขามีความสุขแค่ไหนหลังได้รับชัยชนะ เขาเป็นเพื่อนบ้านของผมเอง ผมเป็นคนถือเป้าให้ และเห็นว่าเขาซ้อมหนักขนาดไหน มันน่ามหัศจรรย์จริงๆ และนั่นคือผลตอบแทนของเขา”
ทำลายกำแพงที่กั้นขวาง
เหงียน ค้นพบแรงปรารถนาในคิกบ็อกซิ่งอย่างรวดเร็ว แต่แม่ก็พยายามโน้มน้าวไม่ให้เขาถลำลึกไปมากกว่านี้
ไม่ว่าลูกชายจะพยายามอธิบายมากแค่ไหน เกี่ยวกับคุณค่าของการกีฬา ทั้งการฝึกซ้อม กฎกติกา และความปลอดภัยที่มาพร้อมกับศิลปะการต่อสู้ ก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดของเธอได้
“แม่ของผมยืนกรานหนักแน่นว่า แม่ไม่อยากให้ลูกเป็นนักสู้”
“แม่จ่ายเงินค่าสมาชิกและซื้อของต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาให้ผม ไม่มีเรื่องชกต่อย แต่ทั้งหมดทั้งมวลสำหรับแม่ก็คือ แม่ให้กำเนิดลูกมา และเลี้ยงดูชนิดยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ลูกเป็นเด็กที่แข็งแรง แต่ตอนนี้ลูกอยากที่จะไปแข่งขันกีฬาที่อาจทำให้ลูกเจ็บตัว’”
ทีแรก เหงียน ก็ยอมรับว่าความแน่วแน่ของแม่ ทำให้เขาเริ่มขาดกำลังใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ตระหนักว่าเขาหลงรักศิลปะการต่อสู้เกินกว่าจะถอนตัว
ขณะที่แม่ไม่ยอมมานั่งชั้นริงไซด์ในไฟต์ที่ เหงียน ขึ้นชก เธอยอมรับว่าลูกชายตัดสินใจด้วยตัวเอง และเธอก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาจากการไล่ล่าความฝันได้
“จริงๆ แล้ว พ่อกับแม่อยากให้ผมทำงานออฟฟิสมากกว่า แต่เขาก็ต้องยอมรับในการใช้ชีวิตของผม”
“พวกเขาให้การสนับสนุนผมมาตลอดก็จริง แต่มันก็ยากอยู่เหมือนกัน เพราะเขาไม่อยากเห็นลูกต้องเจ็บตัว”
กลับบ้าน
แม้ เหงียน ไม่ได้เติบโตที่เวียดนาม แต่เขาก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ จากครอบครัว ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้กลับมาเหยียบประเทศแม่เป็นครั้งแรกเมื่อ 3 เดือนก่อน
หนำซ้ำเขายังได้เป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขัน วัน ซูเปอร์ ซีรีส์ ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกที่นครโฮจิมินห์ โดยพกสถิติ 19-7 และแชมป์ WMC Victorian และเขาตื่นเต้นกับโอกาสในครั้งนี้อย่างที่สุด
“การได้กลับไปยังเวียดนาม และเป็นการแข่งขันครั้งแรก ผมอธิบายไม่ได้เลยจริงๆ ว่าผมรู้สึกตื่นเต้นมากแค่ไหนที่จะได้แสดงให้เห็นว่านักสู้ชาวเวียดนามนั้นเก่งกาจอย่างไรบ้าง”
“การได้เข้าร่วมการแข่งขันกับนักสู้ชาวเวียดนามคนอื่นๆ มันน่าอัศจรรย์มาก ตอนที่ผมเริ่มต้นใหม่ๆ มีนักสู้ชาวเวียดนามไม่มากนัก เพิ่งจะ 2 ปีให้หลังมานี้ที่คนเริ่มให้ความสนใจกีฬา ผมจึงรู้สึกภาคภูมิใจมากๆ”
นอกจากนี้ เวทีระดับโลกยังมอบโอกาสให้เขาสานฝันต่อไปในอนาคต รวมถึงการคว้าแชมป์โลกซึ่งจะทำให้ครอบครัวตระหนักได้ว่า เหงียน ได้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างถูกต้องและน่าภูมิใจ
เวทีแห่งนี้มอบโอกาสให้ชายผู้เกิดในเมลเบิร์นได้เริ่มต้นทำงานเพื่อสานฝันในระยะยาวของเขา ซึ่งรวมไปถึงเข็มขัดแชมป์โลก และสิ่งที่จะทำให้ครอบครัวของเขาภาคภูมิใจ
“ผมรู้ว่าพ่อแม่ทำงานอย่างหนัก แต่ผมก็สามารถสร้างในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน”