“สามเอ” ยอมลำบากมาเกือบทั้งชีวิต…เพื่อสิ่งนี้
“สามเอ ไก่ย่างห้าดาว” คือหนึ่งในนักชกที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวยไทย แต่ความสำเร็จของเขาจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากการเสียสละอย่างยิ่งยวดตลอดเวลา 28 ปีที่ผ่านมา
เขาจำต้องละทิ้งหลายอย่างในชีวิต เพื่อเดินหน้าสู่ความฝันสูงสุดกับความสำเร็จในวิชาชีพ ซึ่งวันนี้ผลตอบแทนของมันช่างคุ้มค่า เมื่อเขานำพาครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจน และกลายเป็นฮีโร่ระดับประเทศ
ตั้งแต่เข้าสู่เส้นทางนักสู้เมื่อวัยเพียง 9 ขวบ สามเอ ต้องพัฒนาความคิดอ่านของเขาให้โตเกินตัว แม้จะอยากใช้เวลาเล่นสนุกกับเพื่อนๆ เหมือนอย่างเด็กทั่วไป แต่เขาก็ทำไม่ได้ เพราะเมื่อไม่มีต้นทุนชีวิต การจะไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จจึงต้องแลกมาด้วยความทุ่มเทอย่างมหาศาล
“ตอนผมเป็นเด็ก บางครั้งผมก็อยากออกไปเล่นกับเพื่อนๆ นะครับ เด็กแถวบ้านเขาเลิกเรียนแล้วก็ออกไปวิ่งเล่นกัน แต่ผมไม่มีเวลา เลิกเรียนเสร็จก็ต้องซ้อมมวยต่อ ผมเลือกทางนี้แล้วผมก็ต้องทำ”
“ผมมีเพื่อนที่ชกมวยเหมือนกันหลายคน ผมชกมวยได้เงินมาเป็นค่าขนมไปโรงเรียน ตอนนั้นผมว่ามันสนุกดีเหมือนกันที่หาเงินเองได้ และมีเงินค่าขนมมากกว่าเพื่อน ผมเลยคิดว่าไม่ได้เล่นก็ไม่เป็นไร การเสียสละเวลาเล่นมันคุ้มค่ากับสิ่งที่ผมได้มา ผมจึงตั้งหน้าตั้งตาซ้อมมวยอยู่ที่ค่าย”
- “สามเอ” ใช้ชั่วโมงบินข่มคู่ชิง “ร็อกกี อ็อกเดน” ในนัดชิงแชมป์โลก ONE มวยไทย
- ครูตอง” ชนนภัทร นักสู้รุ่นบุกเบิกสมัยคนไทยแทบไม่รู้จัก MMA
- “มาร์ค แฟร์เท็กซ์” โวกดดันเก่ง “ทรอย” จะรับมือไหวเหรอ
สามเอ เดินสายชกอย่างต่อเนื่อง โดยนั่งท้ายรถกระบะไปต่อยมวยตามงานวัดและงานเทศกาลประเพณีต่างๆ เพื่อสั่งสมกระดูกมวยและสร้างชื่อให้ตัวเองในแถบภูธร นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะเทศกาลไหนๆ ลอยกระทง สงกรานต์ หรือปีใหม่ เขาไม่มีโอกาสได้สนุกเหมือนใครๆ แต่ต้องขึ้นชกมวยแทน
“พอถึงช่วงวัยรุ่น บางทีผมก็อิจฉาเพื่อนๆ เหมือนกันนะ เขาได้ไปดูหมอลำ ส่วนผมต้องเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อเตรียมตัวซ้อมในวันรุ่งขึ้น แต่ผมไม่เก็บเรื่องนี้มาคิดหรอก เพราะหลังแข่งเสร็จผมจะไปที่ไหนก็ได้ แต่จริงๆ ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบเที่ยวอยู่แล้ว ผมชอบอยู่เงียบๆ มากกว่า”
แม้ สามเอ จะมีความหนักแน่นและแน่วแน่ต่อเป้าหมาย แต่เขาก็ยอมรับว่าช่วงหนึ่งของชีวิตเมื่อต้องย้ายจากบ้านเกิดที่บุรีรัมย์สู่ค่ายใหญ่ในเมืองกรุง เพื่อมุ่งหน้าสู่ความก้าวหน้าในอาชีพ ทำให้เขาห่างบ้านห่างครอบครัว และต้องปรับตัวกับวิถีชีวิตในแดนศิวิไลซ์ ลำบากกายอาจไม่เท่าไหร่ แต่ลำบากใจนี่เรื่องใหญ่พอสมควร
“ตอนผมมากรุงเทพฯ ใหม่ๆ ผมค่อนข้างทำใจลำบาก เพราะต้องห่างครอบครัว และต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ผมรักธรรมชาติ ไม่ชอบเสียงอึกทึกวุ่นวาย ผมต้องปรับตัวเป็นเดือนถึงจะชิน มันยากนะ เพราะผมคิดถึงลูกเมีย”
“ผมเตือนสติตัวเองเสมอว่า ผมมาที่นี่เพราะงาน ถ้าไม่ชกมวย ผมก็ไม่รู้จะทำอะไร ผมจึงต้องอดทนและพยายามทำให้ดีที่สุด และทุกครั้งหลังชกเสร็จ ผมจะกลับไปพักที่บ้านหนึ่งสัปดาห์เพื่ออยู่กับครอบครัว ซึ่งมันเหมือนเป็นการชาร์ตแบต ทำให้ผมมีแรงและมีกำลังใจที่จะกลับมาสู้ต่อ”
ระยะทางที่ห่างกันระหว่างกรุงเทพฯ-บุรีรัมย์ ยังไม่เท่ากับปัจจุบันที่ สามเอ อยู่ไกลถึงสิงคโปร์ หลังจากที่ สามเอ ประสบความสำเร็จกวาดเข็มขัดแชมป์มวยไทยมาหลายเส้น เมื่ออายุมากขึ้นไม่มีใครยืนยงคงกระพันในวงการนี้ แต่โชคดีที่ สามเอ ได้รับโอกาสให้ไปทำงานเป็นครูมวยที่อีโวล์ฟ ยิมใหญ่ในสิงคโปร์ ด้วยรายได้เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งแม้ต้องห่างครอบครัวไปไกลกว่าเดิม แต่ทำให้ชีวิตของทุกคนสุขสบายขึ้นกว่าแต่ก่อนชนิดพลิกฝ่ามือ
“ชีวิตตอนมาอยู่ที่อีโวลฟ์ มันง่ายกว่าตอนชกมวยอยู่เมืองไทยเยอะครับ ถึงแม้จะไกลครอบครัว แต่ผมก็วิดีโอแชตกับพวกเขาเป็นประจำ บางทีพวกเขาก็ส่งรูปให้ผมดู และช่วงปิดเทอมลูกๆ กับภรรยาก็จะบินมาหาผม”
แม้ สามเอ จะโหยหาชีวิตหัวหน้าครอบครัวที่มีภรรยาและลูกๆ พร้อมหน้าพร้อมตา แต่การเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเขา นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ยิ่งกว่าเคยฝันไว้ ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย และตัวเขาเองก็ยังได้เดินหน้าล่าเป้าหมายบนเส้นทางนักสู้ โดยที่ผ่านมาเขาคว้าแชมป์โลก ONE มาแล้วถึงสองครั้ง และกำลังจะมีครั้งที่ 3 ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
“ผลตอบแทนจากการเสียสละมาทั้งชีวิตของผม ผมยอมทำงานหนักเพื่อครอบครัว แต่ผมว่ามันคุ้มค่า เพราะเวลานี้ผมมีหลักประกันในชีวิต และหมดกังวลกับอนาคตของพวกเขา มันยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้ผมฮึดสู้ เพราะความสุขของผม ก็คือการได้เห็นพวกเขามีชีวิตที่ดีและมีความสุขครับ”
อ่านเพิ่มเติม: