เปิดเรื่องจริงของ “สิงห์ทองน้อย” นักสู้ที่มะเร็งฆ่าไม่ตาย
เรื่องราวชีวิตสุดมหัศจรรย์ของนักชกที่ “มะเร็งฆ่าไม่ตาย” สิงห์ทองน้อย ป.เตละกุล กับการเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต การข้ามผ่านช่วงเวลาระหว่างความเป็นกับความตาย ทำให้เขาได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต
หลังการแขวนนวมในวัย 35 ปี นักมวยระดับตำนานของเมืองไทย ผู้เคยผ่านสังเวียนผืนผ้าใบกว่า 300 ไฟต์ในเวลากว่า 20 ปี เขาเคยผ่านจุดสูงสุดได้เป็นแชมป์สนามมวยเวทีลุมพินี, แชมป์ WMC มวยไทย และได้รับรางวัลนักมวยยอดเยี่ยมของสนามมวยเวทีราชดำเนิน
หลังจากขึ้นสังเวียนครั้งสุดท้ายในประเทศไทยแล้วกระดูกซี่โครงหัก ต้องพักฟื้นร่างกายจนร้างเวทีไปนาน เขากลับไปใช้ชีวิตแบบบ้านๆ โดยยึดอาชีพขายนมแพะ ไม่นานความยากจนแร้นแค้นก็กลับมาเยือน จนกระทั่งวันที่เขาได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
เขาได้รับการชักชวนให้ไปทำงานที่ Evolve MMA ยิมใหญ่ในสิงคโปร์ ในฐานะเทรนเนอร์ เช่นเดียวกับเหล่านักมวยไทยดีกรีแชมป์โลกอีกหลายคนที่ปักหลักอยู่ที่นั่น
การทำงานเป็นเทรนเนอร์กำลังไปได้สวย แต่เขากลับต้องเจออุปสรรคจากคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจที่สุดในชีวิต หลังพบข่าวร้ายจากแพทย์ว่าตรวจพบ “มะเร็งระยะที่ 3”
“ตอนที่หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็งโพรงจมูกและลำคอ ผมช็อกมาก ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองเป็นมะเร็ง จะเป็นไปได้ยังไง ก็แค่หูอื้อๆ ไม่ค่อยได้ยิน ผมร้องไห้ มันหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เพราะรู้ตัวว่าต้องตายแน่นอน”
ชีวิตที่ต้องต่อสู้กับ “ความตาย” เขาได้รับกำลังใจจากครอบครัวและคนรอบข้าง รวมถึงเจ้าของยิมและบิ๊กบอสของ วัน แชมเปียนชิพ อย่าง “นายชาตรี ศิษย์ยอดธง” ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล และปลุกขวัญกำลังใจให้เขาสู้ชีวิตต่อไป
สิงห์ทองน้อย ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีด้วยเคมีบำบัดและฉายรังสี แต่ผลกระทบจากการรักษานั้นสุดแสนจะเจ็บปวดและทรมาน
สัปดาห์แรกของการรักษา เขาแทบกินไม่ได้ น้ำหนักหายไป 5 กก. ไม่มีแรง แม้แต่จะยกแขน หรือเดินไปมาก็ยังยากลำบาก เพลียและได้แต่นอนอย่างเดียว
“คุณชาตรี ดีกับผมมาก บอกให้สู้ ให้กำลังใจ และอย่ายอมแพ้ ผมไม่ได้ทำงาน แต่ก็ยังจ่ายเงินเดือนตามปกติ และออกค่ารักษาพยาบาลให้ทุกบาททุกสตางค์ คิดดูว่าเป็นเงินมากมายมหาศาลเท่าไหร่ ผมซาบซึ้งใจมากครับ”
หลังจากผ่านการทำบำบัดด้วยเคมี 7 ครั้ง และรังสีบำบัด 36 ครั้ง หมอแจ้งข่าวดีว่ามะเร็งได้หายไปแล้ว
“ผมพยายามปฏิบัติตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด ไปตรวจแต่ละครั้งหมอก็บอกว่าดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง 6 เดือนผ่านไป หมอบอกว่าคุณหายดีแล้ว ตอนนั้นผมรู้สึกโลกทั้งใบเป็นของผม โอ้โห…มันโล่งไปหมดเลย”
เมื่อได้รับการยืนยันจากแพทย์ว่าหายดี และเปิดไฟเขียวให้เขากลับมาฟิตร่างกายได้เหมือนเดิม สิงห์ทองน้อย ในวัย 37 ปี จึงขอโอกาสขึ้นชกในรายการระดับโลก วัน แชมเปียนชิพ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนทั่วโลกได้เป็นอุทาหรณ์ และรู้จักเขาในฐานะ “นักชกผู้ชนะมะเร็ง”
“ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้กลับมาโชว์ความสามารถบนเวที รู้สึกเหมือนครั้งแรกที่ได้ขึ้นชก มันเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของชีวิต เพราะหลังจากหายจากมะเร็งแล้ว ทำให้ผมรักตัวเองมากขึ้น ทำให้รู้ว่าชีวิตมีคุณค่ามากแค่ไหน”
นี่คือเรื่องราวชีวิตของหนึ่งในนักมวยระดับเจ้าตำนานมวยไทย ผู้เคยเดินผ่านเส้นบางๆ ระหว่างความเป็นและความตาย เป็นตัวอย่างให้ผู้ที่กำลังท้อแท้ หมดหวัง มีกำลังใจลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิต เพราะตราบใดที่หัวใจไม่ยอมแพ้ ก็เท่ากับได้ฝ่าฟันอุปสรรคไปครึ่งทางแล้ว
อ่านเพิ่มเติม: