“โจเซฟ ลาซิรี” ผู้ไม่เคยยอมแพ้แต่อุปสรรคใช้ชีวิต
“The Hurricane” โจเซฟ ลาซิรี แชมป์โลก WBC มวยไทย เตรียมหวนคืนสังเวียน วัน แชมเปียนชิพ อีกครั้ง
เขาจะปะทะฝีมือกับ “มงคลเพชร เพชรยินดีอะคาเดมี” ในศึก ONE: IMMORTAL TRIUMPH ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม วันศุกร์ที่ 6 กันยายนนี้
ความแข็งแกร่งภายในจิตใจมีส่วนขับเคลื่อนให้เขาเดินมาถึงจุดนี้
“ไม่มีใครสอนว่าล้มแล้วลุกต้องทำยังไง หรือมันสำคัญตรงไหน ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรติดต่อมาตั้งแต่เกิด”
“มันมีคำพูดหนึ่งที่ผมจำได้ดีว่า มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณต่อยหนักแค่ไหน แต่มันสำคัญที่ว่าคุณโดนต่อยแล้ว คุณต้องก้าวต่อไปข้างหน้าให้ได้ มันเป็นคำแนะนำที่ทรงพลังมากสำหรับทุกคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต”
ก่อนขึ้นสังเวียนในฐานะนักกีฬา วัน ซูเปอร์ ซีรีส์ นักชกจากเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ผ่านความยากลำบากมาแล้วในชีวิต ซึ่งนั่นไม่เคยหยุดยั้งเขาจากความทะเยอะทยานสู่ความฝัน
หลายคนไม่เชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จบนเส้นทางนักสู้ได้ ซึ่งเขาใช้คำสบประมาทเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันในการฝ่าฟันอุปสรรค มันเป็นเพียงบททดสอบเบื้องต้นในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
เมื่อครอบครัวของเขาประสบปัญหา พ่อแม่ตกงาน ไม่มีเงินใช้จ่ายในครอบครัว ลาซิรี จึงย้ายไปยังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ห่างไกลจากบ้าน แถมยังไม่รู้ภาษาอังกฤษ
“ผมย้ายไปลอนดอนเมื่อปี 2014 เพื่อเป็นการท้าทายตัวเอง และช่วยเหลือครอบครัว”
“ความเป็นอยู่ในต่างแดนมันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ เพียงลำพัง ทั้งโดดเดี่ยว และไม่เข้าใจภาษาที่เขาใช้กัน”
“ด้วยอุปสรรคเหล่านี้ทำให้ประสบการณ์ของผมไม่ค่อยดีนัก แต่ผมก็ได้เรียนรู้ที่จะก้าวผ่านมันมาให้ได้ และลุกขึ้นยืนทุกคนที่ล้ม การได้เผชิญหน้ากับความกลัวคือโอกาสที่ดีที่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้น”
ลาซิรี ทำงานในร้านพิซซ่า โดยใช้ภาษาอิตาเลียนและภาษาอาหรับในบางครั้งกับเพื่อนร่วมงาน และก็ยังไม่เข้าใจภาษาอังกฤษอยู่ดี
เมื่อเขาอยู่สหราชอาณาจักร เขาต้องการที่จะตามล่าความฝันที่มีต่อศิลปะการต่อสู้ เขาจึงได้เข้าร่วมทีม Tieu และฝึกซ้อมอย่างหนักเท่าที่เวลาว่างจากงานประจำเอื้ออำนวย ซึ่งมันทำให้เขาเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับคนท้องถิ่นได้มากขึ้น
เขาต้องพูดคุยกับคู่ซ้อม เขาจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาใหม่ ความพยายามของเขาหลอมรวมเข้ากับศิลปะการต่อสู้ จนเริ่มเข้าที่เข้าทางไปกับทุกอย่าง
“ผมจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อที่จะสื่อสารกับลูกค้า แต่สิ่งที่ทำให้ผมอยากฝึกภาษาอังกฤษจริงๆ จังๆ ก็คือมวยไทย”
“ตอนที่ผมเริ่มต้นฝึกซ้อมในค่ายใหม่ ผมต้องการทำความรู้จักกับทุกคน ผมจึงต้องเรียนภาษาอังกฤษเพื่อที่จะสื่อสารให้พวกเขารู้จักผมได้”
“มันก็เป็นเรื่องยากในการปรับตัวเข้ากับค่ายใหม่ ผมต้องซ้อมหนักเพื่อให้ได้การยอมรับจากนักสู้อาชีพคนอื่น แต่เมื่อพวกเขารู้จักตัวตนของผมและยอมรับในตัวผม พวกเขาก็ปฏิบัติเสมือนผมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว”
“พวกเขาทำให้ผมมีบ้านหลังที่สอง ผมยังคงสำนึกในบุญคุณของทีม Tieu ที่มอบโอกาสให้ผมได้เข้าฟิตซ้อมในช่วงเวลานั้น”
ลาซิรี ได้พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ได้ช่วยเหลือครอบครัว และได้เสริมเกราะให้กับตัวเองเพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก
นั่นคือผลตอบแทนที่นักชกวัย 28 ปีได้รับเมื่อเขาเดินทางกลับบ้าน และเขาก็ได้ก้าวขึ้นสู่สังเวียนเพื่อตามล่าความฝันในการเป็นนักสู้
“การเจอกับอุปสรรคมากมายในชีวิต มันช่วยให้คุณแกร่งขึ้น”
“ผมสามารถยอมรับและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกเฉยชากับปัญหา แต่ผมสามารถหาวิธีรับมือกับมันได้ต่างหาก”
“มันก็เหมือนกับศิลปะการต่อสู้นั่นแหละ สิ่งที่จะทำให้คุณเป็นนักสู้ที่เก่งขึ้น คือคุณต้องเผชิญกับคู่แข่งที่แกร่งกว่า และพยายามหาทางต่อกรกับพวกเขา”
เขาเคยผ่านนักชกสุดอันตรายมาแล้วมากหน้าหลายตา เขากล้า และมีฝีมือมากพอที่จะรุกและรับ ไม่ใช่เป็นหมูให้ยืนเชือดง่ายๆ
ความพ่ายแพ้ 2-3 ครั้งติดต่อกัน ไม่ทำให้เขาถอดใจกับการเจองานหินบนสังเวียน วัน แชมเปียนชิพ และเมื่อความมุ่งมั่นยังทำงาน ความสำเร็จก็ตามมาในที่สุด เมื่อเขาสามารถเอาชนะนักสู้ไร้พ่ายแชมป์โลก WFKO คาราเต้ “ฮิโรกิ อากิโมโตะ” ต่อหน้ากองเชียร์เจ้าบ้านชาวญี่ปุ่นในศึก ONE: A NEW ERA เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
นักสู้ชาวอิตาลีทราบดีว่าเขาจำเป็นต้องสะกดจิตตัวเองเพื่อหวังชัยชนะในสงคราม 3 ยกกับนักชกไทย “มงคลเพชร เพชรยินดีอะคาเดมี” ที่ฝูเถาะ อินดอร์ สเตเดียม ซึ่งเขาเชื่อว่าจะสามารถทำได้อีกครั้ง
“ล้มแล้วลุก ไม่ใช่แค่มีความสำคัญเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องพื้นฐานทีเดียว”
“ในวงการศิลปะการต่อสู้ คุณจำเป็นจะต้องใช้หัวใจที่แข็งแกร่งเพื่อเผชิญหน้ากับการฟิตซ้อมที่หนักหนาสาหัส อีกทั้งคู่แข่งขันที่แสนทรหด หัวใจจึงต้องพร้อมที่จะก้าวเดินไปแม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ”
“คู่แข่งคนต่อไปของผมนับเป็นนักชกที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง ผมจะขึ้นเวที ทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงในไฟต์ที่กำลังจะมาถึง ผมจะไปยังทิศทางเดียวที่ผมรู้ นั่นคือ เดินหน้าสู้!”