“ไมเคิล แฝม” สุดปลื้มเป็นตัวแทนบ้านเกิดในศึก ONE: IMMORTAL TRIUMPH
“The Beast From The East” ไมเคิล แฝม จะเป็นนักสู้คนแรกที่ได้ประเดิมการแข่งขัน วัน แชมเปียนชิพ ครั้งแรกบนแผ่นดินแม่ในศึก ONE: IMMORTAL TRIUMPH ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม
นักสู้วัย 30 ปีจาก Team Tieu จะพบกับนักสู้ชาวมาเลเซีย “มูฮัมมัด ฟากรี บิน ยูซอฟฟ์” ในฐานะคู่เปิดสนามที่ ฝูเถาะ อินดอร์ สเตเดียม วันศุกร์ที่ 6 กันยายนนี้
การแข่งขันมวยไทยในรุ่นเฟเธอร์เวตครั้งนี้ ยังถือเป็นไฟต์แรกของ แฝม ในองค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเขารอไม่ไหวที่จะได้โชว์ฝีมือให้แฟนๆ เห็นในศึกแรกของ ONE ที่ “ดินแดนแห่งมังกรสีน้ำเงิน”
ติดตามเรื่องราวของ “The Beast From The East” กว่าจะมาถึงจุดนี้กันได้เลย
วัยเด็กอันไม่ประสา
แฝม เกิดที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในครอบครัวชาวเวียดนามที่อพยพหนีภัยสงครามจากบ้านเกิดมากว่า 20 ปี
แม่ของเขาเติบโตในกรุงฮานอย ขณะที่พ่อมาจากนครโฮจิมินห์ ทั้งคู่มาพบรักกันในฐานะผู้ลี้ภัยที่เมืองหลวงของอังกฤษ
“พวกเขาเดินทางมาอังกฤษเพื่อหนีภัยสงคราม และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น”
“หนึ่งในป้าของผมลี้ภัยไปที่แคนาดา แต่สมาชิกครอบครัวที่เหลือไม่ได้รับอนุญาตให้ตามไป เลยลงเอยกันที่นี่ สมาชิกครอบครัวของผมหลายคนอยู่ที่ลอนดอน ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งยังอยู่ที่เวียดนามจนถึงวันนี้”
พ่อแม่ของเขาได้งานในโรงงานเย็บผ้า และเลี้ยงดูแฝมกับพี่สาวอีก 3 คนในย่านท็อตแนม ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน ซึ่งเจ้าของฉายา “The Beast From The East” ยอมรับว่า เขามีปัญหาไม่น้อยกับการหาความหมายของชีวิต
“ผมโตขึ้นแบบไม่โดดเด่นอะไรสักด้าน ผมชอบเล่นแต่เกมคอมพิวเตอร์”
“ผมไม่เล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมอะไรจริงจัง ส่วนเรื่องเรียนก็ไม่เก่ง สิ่งที่ผมต้องการคือกลับบ้านไปเล่นเกม”
เรียนรู้เพื่อป้องกันตัวเอง
https://www.instagram.com/p/B1RjK8_Jftp/
จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้นหลังจากโดนแกล้งที่โรงเรียนในสมัยวัยรุ่น และญาติจึงแนะนำให้เขาไปที่โรงยิม
“ผมเริ่มฝึก เจี๋ยฉวนเต้า (Jeet Kune Do) เพราะถูกแกล้งในวัยเด็กนี่แหละครับ”
“เด็กคนอื่นพยายามที่จะขโมยของผม เจอแบบนี้แทบจะตลอด จนผมต้องเรียกลูกพี่ลูกน้องมาช่วย”
“มันก็ดีนะที่มีคนมาช่วย แต่ว่าผมก็เรียกหาเขาบ่อยเกินไป จนเขาบอกว่า ถึงเวลาที่ผมต้องรู้จักป้องกันตัวเอง เพราะเขาคงไม่สามารถปกป้องผมได้ชั่วชีวิต”
บุรุษขี่ม้าขาวที่มาช่วยเขาเป็นประจำในสมัยวัยรุ่น คือเฮดโค้ชคนปัจจุบัน “ฟิลิป เตียว” แต่ถึงอย่างนั้นก็เจอปัญหาไม่น้อยกับการทำให้ แฝม ยอมที่จะเริ่มเรียนศิลปะการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม หลังจากฝึกสอนวิชาเบื้องต้นในการเตะต่อยที่บ้านของป้า เขาก็สามารถพา แฝม ไปที่โรงยิมสัปดาห์ละครั้งได้สำเร็จ และความหลงใหลก็เพิ่มขึ้นจากตรงนั้น
“ผมไม่เคยสนใจศิลปะการต่อสู้เลย กระทั่งถึงเวลาที่ผมจะต้องปกป้องตัวเอง”
“ผมรู้ว่าผมต้องเรียนและฝึกฝนเพื่อเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง ลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนของผมก็มาเรียนด้วย และพวกเขาคอยผลักดันผม จากนั้นพวกเราก็ช่วยเหลือกันและกัน เหมือนกิจกรรมในครอบครัว”
ค้นหาแรงปรารถนา
ครั้งแรกในชีวิตที่ แฝม ได้เริ่มทำกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังกาย หลังจากนั้นมันทำให้เขาจริงจังกับการฝึกฝนมากขึ้น
“สิ่งที่ทำให้ผมต้องการพาตัวเองสู่ความก้าวหน้า คือความรู้สึกที่ได้รับหลังการฝึกซ้อมนี่ล่ะครับ”
“มันเป็นความรู้สึกที่ผมเสพติด ผมรู้สึกดี เหมือนล่องลอยอยู่กับความภูมิใจตัวเองที่เกิดโดยธรรมชาติ ผมจึงหมั่นซ้อมทุกวัน”
ย่างเข้าวัย 18 ปี เขาเริ่มต้นการแข่งขันชกมวยไทย แม้จะมีอาการตื่นเวทีอยู่บ้าง แต่ชัยชนะในไฟต์นั้นทำให้เขาไม่หันหลังกลับอีกเลย
การแข่งขันทำให้เขาเปลี่ยนไปทั้งกายและใจ และทำให้เขาก้าวสู่ความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้น
“ตอนที่ผมชนะไฟต์แรก ผมรู้สึกดีมากๆ การได้รับความสนใจและรางวัลที่ได้รับ มันทำให้ผมปลื้มจนพูดไม่ถูก”
“ผมรู้แค่ว่าผมต้องลุยต่อ ไม่เพียงเท่านั้น ความเคารพที่ทุกคนมอบให้ผม ทำให้ผมรู้ว่าผมต้องเดินหน้า ผมรู้สึกยอดเยี่ยมมากที่ท้ายที่สุดผมค้นพบสิ่งที่ตัวเองปรารถนาในชีวิต”
สู่ความสำเร็จ
ด้วยความกระหายที่จะประสบความสำเร็จ หนุ่มจากกรุงลอนดอนทุ่มเททุกสิ่งในการซ้อม และผลลัพธ์ก็แสดงออกบนสังเวียน
เขาคว้าแชมป์ ISKA, WKA และ MTGP European ในเวทีใหญ่ที่สุดของทวีป และในตอนนี้เขาก็ได้ก้าวสู่เวทีระดับโลกเรียบร้อยแล้ว
“ผมดีใจมากตอนที่รู้ว่า ONE ติดต่อมา มันเหมือนว่าทุกสิ่งที่ผมทำมาตลอด 12 ปีได้ออกดอกผลแล้ว”
“ผมได้ดูการแข่งขัน และคิดว่าน่าจะเป็นบททดสอบที่ดีกับผม เพราะ วัน แชมเปียนชิพ มีแต่นักสู้ฝีมือดีมากมาย”
นี่ถือเป็นโบนัสครั้งใหญ่กับการจะได้อวดฝีมือต่อหน้าแฟนๆ ชาวเวียดนาม และ แฝม จะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ให้สูญเปล่า
เขามุ่งมั่นทุ่มสุดตัวในศึกที่ ฝูเถาะ อินดอร์ สเตเดียม และหวังจะไต่อันดับท่ามกลางนักกีฬาที่เก่งกาจของ วัน แชมเปียนชิพ
“ผมมาที่เวียดนามบ่อยครั้งเพื่อเจอกับครอบครัวของผม แต่การได้ขึ้นสู้ที่นี่ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะได้รับโอกาสแบบนี้อีกเมื่อไหร่ ฉะนั้นผมต้องสู้สุดใจ เพื่อให้ทั้งประเทศภูมิใจครับ”