ค่ายมวยข้างบ้านสร้าง “ซุปเปอร์เล็ก” สู่แถวหน้าแห่งวงการมวยไทย
ค่ายมวยเล็กระดับตำนานแห่งบุรีรัมย์ “เกียรติหมู่ 9″ อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักมวยไทยชื่อดังมากมายบนแผ่นดินสยาม “ซุปเปอร์เล็ก” กำลังเดินรอยตามรุ่นพี่และสร้างชื่อเสียงในระดับโลก
หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน “ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9” หรือที่คนในค่ายต่างเรียกเขาว่า “เป๊บซี่” เด็กหนุ่มซึ่งเกิดในย่านชนบทของอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เขาพลัดพรากกับพ่อตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ได้ 3 เดือน ด้วยความจนแม่จำต้องปล่อยให้เขาอยู่กับตายาย และเข้าไปทำงานหาเงินที่กรุงเทพฯ ตามลำพัง นาน ๆ ถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านสักที
เขายังจำได้ดีว่าสมัยเด็ก ๆ เขามีความน้อยเนื้อต่ำใจ อยากกินขนม อยากมีของเล่นเหมือนอย่างเพื่อน ๆ ยายตอบเขาเสมอว่า ยายไม่มีเงิน ซึ่งคำนี้มันดังก้องอยู่ในหูของมาตลอด
(ขวา) ซุปเปอร์เล็ก ในวัยเด็ก
ห่างจากบ้านของตายายไปไม่ไกล มีค่ายมวยเล็ก ๆ นามว่า “เกียรติหมู่ 9” ซึ่งเป็นสถานที่ปลุกปั้นนักมวยวัยรุ่นชื่อดังซึ่งชาวบ้านรู้จักดีอย่าง “สิงห์ร้ายแดนแขมร์” สิงห์ดำ เกียรติหมู่ 9 ในวัย 17-18 ปีขณะนั้น ที่เพิ่งได้รับรางวัลนักมวยไทยยอดเยี่ยมสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย ปี 2545 หรือที่คนวงการมวยเรียกสั้น ๆ ว่า “ยอดมวย” ถือเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่แห่งวงการ
มีการจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างคึกคักในอำเภอประโคนชัย เป๊บซี่ ในวัย 6 ขวบ ยังจำบรรยากาศแห่งความชื่นชมยินดีที่ชาวบ้านมีแก่ฮีโร่นักมวยไทยได้แม่นยำ ซึ่งมันหวนกลับมาอีกครั้งเมื่อ สิงห์ดำ คว้ารางวัลนักมวยไทยดีเด่นการกีฬาแห่งประเทศไทยปีต่อมา
ด้วยความยากจนของครอบครัว บวกกับได้เห็นความสำเร็จจากฮีโร่ประจำหมู่บ้าน ตาของ เป๊บซี่ จึงตัดสินใจพาหลานไปฝากที่ค่ายมวยเกียรติหมู่ 9 เพื่อหวังให้เขาช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว เป๊บซี่ ในวัย 8 ขวบจึงเริ่มต้นเส้นทางนักสู้ ด้วยการฝึกซ้อมมวยไทยในค่ายเดียวกับ สิงห์ดำ นับแต่นั้น
แม้ค่ายเกียรติหมู่ 9 จะเป็นค่ายมวยเล็ก ๆ ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือจำกัดจำเขี่ย แต่ด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมมานานในฐานะค่ายมวยคุณภาพ ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น “ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9” ก็กระโดดขึ้นหลังรถกระบะของค่าย และเดินสายแข่งขันตามงานวัดทั่วอีสาน
“ครั้งแรกผมรู้สึกตื่นเต้นมากครับ ผมไม่เคยเจอคนเยอะ ๆ แบบนี้มาก่อน ตอนชกผมว่ามันสนุก จำได้ว่าได้ค่าตัวมา 150 บาท ผมเอาไปซื้อขนม และที่เหลือก็ให้ตา”
เมื่อสั่งสมกระดูกมวยและสร้างชื่อเสียงในแถบภูธรได้พอสมควร ก็ถึงเวลาที่เขาจะก้าวขึ้นเวทีเกียรติยศในเมืองหลวง เหมือนอย่างที่นักมวยไทยทุกคนใฝ่ฝัน
“ผมเห็นนักมวยรุ่นพี่ที่ค่ายเขาขึ้นชกเวทีใหญ่ ๆ ผมก็กลับมาคิดว่า ทำยังไงผมถึงจะได้ค่าตัวเยอะ ๆ เหมือนพวกเขาบ้าง”
ดั่งโบราณว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เมื่ออยู่ท่ามกลางนักมวยเก่ง ๆ ในค่าย ซุปเปอร์เล็ก ก็ได้ความรู้และเทคนิคต่าง ๆ มาด้วย แต่น่าเสียดายเมื่อเขาได้โอกาสเปิดตัวครั้งแรกที่ สนามมวยเวทีลุมพินี อันเลื่องชื่อ ผลการแข่งขันกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง
“ผมแพ้ตั้งแต่ไฟต์แรก และก็แพ้อีก 3 ไฟต์ติดกัน ผมยอมรับว่าผมท้อ ผมตั้งใจฝึกหนักมาตลอด แต่มาแพ้ 4 ไฟต์รวด ซึ่งผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
เหตุการณ์ผ่านไป ซุปเปอร์เล็ก เริ่มเข้าใจและเห็นปัญหา การชกในเวทีใหญ่ระดับประเทศที่มีผู้คนนับพันนั่งชมและเชียร์ เด็กหนุ่มจากบุรีรัมย์ที่เคยผ่านแต่เวทีเล็ก ๆ ตามงานวัดแถบภูธร ต้องมาเจอแสง สี เสียง มันย่อมเกิดความประหม่าที่ยากจะควบคุม
ทางค่ายจึงตัดสินใจให้เขากลับไปชกต่างจังหวัดเหมือนเดิม จนกระทั่งเขากลับมาอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มอีกครั้ง
การกลับมาของ ซุปเปอร์เล็ก คราวนี้สร้างความสำเร็จชนิดก้าวกระโดด นอกจากค่าตัวที่ไต่ขึ้นมาจนถึงหลักแสนในปัจจุบัน เขายังครองเข็มขัดแชมป์ประเทศไทย และสนามมวยเวทีลุมพินี
ที่สำคัญคือการได้รางวัล “นักมวยดีเด่นการกีฬาแห่งประเทศไทย” ปี 2555 หรือที่คนวงการมวยเรียกกันติดปากว่า “นักมวยถ้วยพระราชทานฯ” ตามรอยฮีโร่รุ่นพี่ร่วมค่าย เมื่อวัย 16 ปี มีชื่อเสียงอยู่ในระดับแถวหน้า แฟนหมัดมวยทั่วประเทศไม่มีใครไม่รู้จัก
ปัจจุบัน ซุปเปอร์เล็ก พกประสบการณ์กว่า 150 ไฟต์ และความสำเร็จมากมาย เป็นใบเบิกทางสู่รายการ วัน แชมเปียนชิพ และขึ้นสังเวียนระดับโลก
เขามีเป้าหมายที่จะเดินหน้าต่อไป เพื่อมุ่งสู่จุดสูงสุดของสังเวียนแห่งนี้ และสร้างชื่อเสียงให้กับค่ายมวยที่ปลุกปั้นเขามาตั้งแต่เริ่มต้นอย่าง “เกียรติหมู่ 9” นั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม: