กระหายไม่สิ้นสุด “มารัต กริกอเรียน” พร้อมเปิดตัวเพื่อให้โลกจดจำ
มีหลายครั้งที่ความฝันจะเป็นแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่งของ “มารัต กริกอเรียน” ในวัยเด็กมีแนวโน้มว่าจะไม่เป็นจริง แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะไปสู่เป้าหมาย จึงทำให้เขาได้รับผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่สมกับความเหนื่อยยาก
แม้จะประสบความสำเร็จเป็นคิกบ็อกเซอร์ชั้นนำระดับโลก แต่ซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เมเนีย-เบลเยี่ยมคนนี้ ก็ยังเดินหน้าหาสิ่งที่ท้าทายเขาอย่างไม่สิ้นสุด โดยศึกครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกในองค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดขณะนี้อย่าง วัน แชมเปียนชิพ จะเป็นการตอกย้ำว่าเขาคือนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลตัวจริงหรือไม่
ก่อนเขาจะขึ้นโชว์ฝีมือที่ สิงคโปร์ อินดอร์ สเตเดียม ในวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคมนี้ กับคู่ต่อกรหน้าใหม่จากรัสเซีย “อีวาน คอนดราเทฟ” เราจะพาไปทำความรู้จักชีวิตรากหญ้าของ มารัต ตั้งแต่ก่อนจะมาเป็นซูเปอร์สตาร์ผู้โด่งดังสุดขีดในวันนี้
ตามหาที่ซึ่งเรียกว่าบ้าน
มารัต เกิดที่เมืองทาลิน ซึ่งเป็นเมืองเกษตรกรรมของประเทศอาร์เมเนีย “แซมเวล” พ่อของเขาทำงานเป็นพ่อครัว ส่วนแม่ “อามาเลีย” เป็นช่างทำผม มารัต เติบโตมากับพี่สาวสามคนและรู้สึกอบอุ่นกับสภาพแวดล้อมของครอบครัว
ทาลิน เป็นเมืองสงบ เด็กๆ สามารถออกไปเล่นนอกบ้านได้ตลอดเวลา ด้วยความเป็นน้องคนสุดท้อง มารัต จึงได้รับการประคบประหงมจากพี่ๆ และมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสนุก
อย่างไรก็ตามชีวิตของ มารัต ก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย โดยพ่อแม่ของเขาพาลูกๆ ย้ายจากอาร์เมเนียไปอยู่เยอรมนีเมื่อตอนเขาอายุเพียง 3 ขวบ เพื่อหวังให้ลูกๆ ได้มีโอกาสที่ดีขึ้น แต่สุดท้าย 3 ปีให้หลังพวกเขาก็ถูกส่งกลับมายังบ้านเกิด
“พวกเรามีชีวิตที่ดีในเยอรมนี เรามีความสุข แต่พวกเขาก็ส่งเรากลับมาอาร์เมนีย มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก เราต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างโดยไม่มีอะไรเลย”
“ถึงมันจะเป็นบ้านเกิดของเรา แต่พวกเรากลับรู้สึกแปลกๆ เพราะเราคุ้นเคยกับชีวิตที่แตกต่างในเยอรมนีไปแล้ว ไม่ว่าจะไลฟ์สไตล์และความคิดก็แตกต่าง ที่อาร์เมเนียแทบมองไม่เห็นโอกาสอะไรเลย”
แม้ดูเหมือนชีวิตพวกเขาจะเดินถอยหลัง แต่พ่อแม่ก็ไม่ละทิ้งความพยายามที่จะพาลูกๆ ออกไปหาอนาคตที่ดีกว่า พวกเขาทำงานหนักและเก็บออม จนกระทั่งได้ย้ายไปอยู่ดินแดนแห่งใหมที่เมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกคนจะต้องปรับตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะเด็ก 9 ขวบอย่าง มารัต ข้อดีคือเขาได้โอกาสทางด้านการศึกษาที่ดี แม้พ่อแม่จะรับจ็อบ 5-6 งานต่อวัน และบางครั้งพวกเขาก็มีแค่ชากับขนมปังรองท้อง แต่เมื่อมองย้อนกลับไปนั่นคือสิ่งที่ทำให้ มารัต ยิ้มได้ เพราะมันเป็นความทรงจำที่ดีของครอบครัวที่มีความรักความอบอุ่นเป็นแกนหลักสำคัญ
รู้จักคิกบ็อกซิ่ง
ในช่วงแรก มารัตน้อย ยังต้องรับมือกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องที่เขาพูดภาษาเบลเยียมไม่ได้ ทำให้เขาหาเพื่อนได้ยากเพราะไม่มีใครเข้าใจที่เขาพูด เขาจึงมีแต่พี่สาวซึ่งด้วยวัยที่กำลังโตจึงทำให้พวกเขาเริ่มสนใจไปกันคนละเรื่อง
พ่อของ มารัต ซึ่งเห็นว่าเขาชื่นชอบภาพยนตร์บู๊ที่มี “บรูซ ลี” และ “เฉินหลง” แสดงนำ จึงพาเขาไปฝึกวิชากังฟู ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นคิกบ็อกซิ่ง
“ยิมคิกบ็อกซิ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน แค่ราวๆ 200 เมตรก็เดินไปถึง ผมมีความสุขมากที่ได้ไปที่นั่น เพราะผมได้ปลดปล่อยพลังในแบบที่ผมต้องการ”
“ทีแรกดูเหมือนครูฝึกจะไม่ค่อยชอบผม เพราะผมไม่สนใจฟังเขา เอาแต่เล่นตลอด (หัวเราะ) ตอนหลังผมเริ่มโฟกัสมากขึ้น เพื่อนในยิมบอกว่าเขากำลังจะได้ลงแข่ง ซึ่งผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราทำได้ ผมแปลกใจมาก เขาบอกว่าถ้าผมตั้งใจมากขึ้น ผมก็จะได้ลงแข่งเหมือนกัน”
เมื่อรู้ดังนั้น มารัต จึงปักธงให้ตัวเอง จนกระทั่งเขาเก่งพอที่จะได้ขึ้นเวทีครั้งแรกเมื่อราวอายุ 12 ปี การได้อยู่กับเพื่อนๆ ที่สนใจในสิ่งเดียวกัน บวกกับชัยชนะในครั้งแรกนั้น ทำให้ มารัต ไม่คิดจะสนใจเรื่องอื่นอีกเลย
“จำได้ว่าผมประหม่า แต่ก็มีความสุข เพื่อนๆ ก็ลงแข่งในวันเดียวกัน มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากกับผม และทำให้ผมอยากชกอีก และตื่นเต้นที่จะฝึกฝนตัวเองให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ”
“ตอนนั้นผมวาดฝันที่จะเป็นแชมป์โลก K-1 ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าผมจะมาได้ไกลขนาดนี้”
ขอลองครั้งสุดท้าย
แม้ มารัต จะมีความฝันอันยิ่งใหญ่ แต่ความสำเร็จกลับไม่ทันใจ สุดท้ายเขาพบกับอุปสรรคในการหาคู่ชกในท้องถิ่น จนเกือบจะเลิกล้มความตั้งใจที่จะไปต่อ ทั้งๆ ที่เขายังไม่ทันได้ใช้ศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ
“มันน่าผิดหวังจริงๆ ปีหนึ่งผมได้ชก 1-2 ครั้ง และเหมือนกับว่าผมซ้อมไปอย่างไม่มีเป้าหมายอะไร ผมต้องการหาเงิน แต่เทรนเนอร์ก็บอกว่าไม่มีใครอยากสู้กับผม ทั้งๆ ที่ค่าตัวก็เพียง 100-150 ยูโร (ราว 3,600-5,400 บาท) เท่านั้น”
มารัต ตัดสินใจเสี่ยงดวงครั้งสุดท้าย โดยข้ามพรมแดนไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์ และร่วมฝึกซ้อมกับเฮเมอร์สยิม โดยคิดว่านี่คือสิ่งที่สุดท้ายที่เขาจะลองดู ถ้ายังไม่เวิร์กอีกเขาก็จำต้องล้มเลิก และหันไปหางานอื่นทำ
ขณะนั้น มารัต อายุ 24 ปี ซึ่งยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยในชีวิต แต่กลับเหมือนฟ้ามีตา สองสัปดาห์หลังจากนั้น ด้วยคอนเนกชันของยิมจึงมีคนสนใจให้เขาไปชกที่จีน
“ผมรับหมดทุกไฟต์ที่มีคนหยิบยื่นให้ ผมได้ชกเคลื่อนไหว 2-3 ไฟต์ต่อเดือน และได้ฝึกซ้อมอยู่เรื่อยๆ มีช่วงหยุดพักบ้างตอนที่ผมบาดเจ็บเล็กน้อย”
“จากนั้นโค้ชก็ถามผมว่า อยากลงแข่ง K-1 หรือเปล่า? ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง มันเหมือนฝันที่เป็นจริง ผมตอบรับทันทีแบบไม่ต้องคิดเลย”
กวาดเข็มขัด
ในปี 2558 มารัต ได้บรรลุความฝันในการคว้าแชมป์ K-1 เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ ทัวร์นาเมนต์ หลังจากน็อกคู่แข่ง 3 คนในคืนเดียวกัน ซึ่งความสำเร็จนั้นยังไม่หยุดความกระหายของเขา
จากนั้นปี 2561 มารัต เข้าร่วมการแข่งขันคุนหลุนไฟต์รอบชิงชนะเลิศ และเอาชนะ ซุปเปอร์บอน โดยการน็อกเอาต์ด้วยเวลาเพียง 29 วินาที
ในปีต่อมา มารัต กระชากเข็มขัดแชมป์โลกกอรี รุ่นไลต์เวต ด้วยการเอาชนะคู่ปรับตลอดกาล “Killer Kid” สิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้อง หลังจากที่ขับเคี่ยวกันมาถึง 5 ครั้ง
นับได้ว่า มารัต เป็นนักกีฬาที่กวาดเข็มขัดระดับโลกมากที่สุดคนหนึ่งของวงการ ตอนนี้เขามุ่งหน้าสู่องค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก วัน แชมเปียนชิพ ซึ่งขณะนี้เป็นสถานที่รวบรวมบรรดานักชกคิกบ็อกซิ่งตัวท็อปของรุ่น 70 กิโลกรัมไว้มากที่สุดในประวัติศาสตร์
ที่นี่จึงเหมาะที่สุดสำหรับ มารัต ผู้ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นเบอร์หนึ่งของรุ่นนี้ และด่านแรกที่เขาจะต้องเจอคือการเผชิญหน้า “อีวาน คอนดราเทฟ” ในศึก ONE: BIG BANG วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดไปสู่แฟนๆ ทั่วโลก
“มีนักชกชั้นยอดมากมายใน ONE และนั่นคือแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ของผมที่จะพิสูจน์ตัวเองให้คนทั้งโลกได้เห็น”
“แน่นอนว่าผมอยากได้เข็มขัด และผมก็อยากเผชิญหน้ากับคนที่เก่งที่สุดของที่นี่ ผมพร้อมชนทุกคน และผมจะทำให้ทุกคนจดจำผมให้ได้”
อ่านเพิ่มเติม: