คุ้ยประวัติ “มิทช์ ชิลสัน” พิธีกรดังแห่ง ONE ที่แท้เคยเป็นนักมวยไทย/MMA มาก่อน
“มิทช์ ชิลสัน” เป็นอีกคนหนึ่งที่แฟน ONE คุ้นหน้ากันดี ด้วยบทบาทหน้าที่การเป็นพิธีกรและผู้บรรยายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่จริง ๆ แล้ว มิทช์ ทำได้มากกว่าการจับไมค์อยู่หน้ากล้อง
เรียกได้ว่าชีวิตของลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกันรายนี้ วนเวียนอยู่กับศิลปะการต่อสู้มาโดยตลอด โดยเคยเป็นทั้งนักกีฬามวยไทยและการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) รวมถึงเคยเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัว โค้ช นักแสดง และอื่น ๆ อีกมากมาย
และนี่คือเรื่องราวของเขา พร้อมกับจุดเปลี่ยนชีวิตที่เราอยากเล่าให้คุณฟังเพื่อจะได้รู้จักเขาคนนี้ให้มากยิ่งขึ้น
#หลงรักมวยไทยเข้าเส้น
มิทช์ สนใจกีฬาการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มจากการฝึกคาราเต้และเคนโดตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เมื่อถึงวัยหนุ่ม สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหลงรักศิลปะการต่อสู้อย่างแท้จริงคือการได้รู้จัก มวยไทย เขาเริ่มดั้นด้นหาที่เรียนมวยไทยในซานฟรานซิสโกที่เขาอาศัยอยู่ และนั่นคือประตูบานแรกสู่โลกของ “ศาสตร์แห่งอาวุธทั้งแปด” อย่างเต็มตัว
“ครั้งแรกที่ผมเรียนมวยไทย ผมเดินดุ่ม ๆ ไปที่ค่าย ชื่อ World Team USA อยู่ในซานฟรานซิสโก มี ครูแซม เป็นผู้ฝึกสอนคนไทยที่นั่น ผมเดินไปหาเขาและบอกว่าผมอยากชก ตอนนั้นผมอายุประมาณ 24-25”
“ผมรักทุกแง่มุมของมวยไทย ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการไหว้ครู การสวมมงคล ไปจนถึง กางเกงมวย ผมคิดว่ากางเกงมวยเป็นอะไรที่เท่สุด ๆ ผมรักมวยไทยมาก ๆผมคิดว่ามวยไทยเป็นศาสตร์การต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะใช้ทั้งหมัด ศอก การกอด เตะ เข่า และผมชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย”
#เรียนมวยไทยต้นตำรับกับบรมครูมวย
จากนั้น มิทช์ ก็เดินสายลงแข่งมวยไทยทั่วสหรัฐอเมริกา ควบคู่ไปกับการทำงานเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัว จนกระทั่งในปี 2548 มิทช์ มีโอกาสมายังประเทศไทย และสัมผัสกับประสบการณ์การแข่งขันมวยไทยของแท้ต้นตำรับ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เขาอยากลงแข่งในประเทศไทย
“ตอนนั้น ผมมาเมืองไทย และได้ดูมวยที่สนามมวยลุมพินี ผมได้ยินเสียงเพลงปี่พาทย์ เสียงตีระฆัง แฟนมวยที่ส่งเชียร์อย่างบ้าคลั่ง มันทำให้ผมรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ผมอยากทำ”
และผมก็ได้พบกับ คุณชาตรี ที่เพิ่งก่อตั้งยิมในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ผมขึ้นชกมวยไทยระดับสมัครเล่น เขาพาผมมาที่ค่ายศิษย์ยอดธงและสอนมวยไทยให้ผม พร้อมบอกว่ามวยไทยที่นี่ไม่เหมือนกับที่อเมริกา มันเป็นศิลปะที่สวยงาม และไม่ใช้กำลังเข้าว่าอย่างเดียว แต่ต้องใช้สมองด้วยเวลาที่อยู่บนเวที”
หลังจากใช้เวลาฝึกมวยกับบรมครูมวยระดับตำนานอย่าง “ยอดธง เสนานันท์” และบรรดาเหล่ายอดฝีมือแห่งค่ายศิษย์ยอดธงทั้งหลาย มิทช์ ก็ได้ขึ้นสังเวียนประมือกับนักมวยไทยมากหน้าหลายตารวมถึง ยอดสนั่น ศิษย์ยอดธง ด้วย และในที่สุด เขาก็สามารถคว้าแชมป์มวยไทยจากเวทีเทพประสิทธิ์ เวทีใหญ่แห่งภาคตะวันออกได้สำเร็จ
#นักกีฬา MMA รุ่นบุกเบิกของ ONE
จากมวยไทย มิทช์ อ้าแขนรับความท้าทายใหม่ด้วยการหันมาฝึกการต่อสู้แบบผสมผสานจนถึงขั้นลงแข่งระดับอาชีพ แถมได้ครองแชมป์ถึงสองสมัยด้วย
“ผมชอบดู MMA เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมก็อยากจะลองปล้ำดูบ้าง ผมอยากเรียนรู้และอยากทดสอบตัวเองในกีฬานี้ ศิลปะการต่อสู้คือการที่คุณสามารถท้าทายตัวเอง ไม่ใช่แค่ทางกายเท่านั้น แต่เป็นจิตใจด้วย การที่ผมอยากลอง MMA มันก็เหมือนการก้าวไปสู่ขั้นต่อไป”
ในฐานะนักกีฬา MMA อาชีพ เขาจึงได้รับการชักชวนให้เป็นโค้ชผู้ฝึกสอนยิม อีโวล์ฟ ในสิงคโปร์ที่เพิ่งเปิดทำการในปี 2552 และเป็นคนแรกที่ได้เข้าร่วมทีมนักกีฬา อีโวล์ฟ ไฟต์ทีม ก่อนจะขึ้นเวทีแข่งขัน มาร์เชียล คอมแบต ตั้งแต่ก่อนที่ วัน แชมเปียนชิพ จะถือกำเนิดขึ้น
แต่หลังจากที่ วัน แชมเปียนชิพ จัดตั้งขึ้นในปี 2554 ซึ่งขณะนั้นยังใช้ชื่อว่า วัน ไฟต์ติง แชมเปียน เขาก็ได้รับโอกาสให้ประเดิมอีเวนต์แรกที่มีชื่อว่า ONE: CHAMPION VS. CHAMPION โดยใช้ฉายาว่า “The Dragon” (มังกร)
#ที่มาของฉายา “The Dragon”
มิทช์ ลงสังเวียน MMA บนเวที ONE ในรุ่นเฟเธอร์เวต โดยรู้จักกันในชื่อ “The Dragon” หรือ มังกร ซึ่งเขาเผยว่ามาจากความเชื่อของแม่ที่เคยบอกว่า มังกร คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกปักรักษาตัวเขามาตั้งแต่ยังเด็ก
“วันหนึ่ง วิกเตอร์ คุย อดีตซีอีโอของ วัน แชมเปียนชิพ ถามผมว่าผมมีฉายา (สำหรับการแข่งขัน) ว่าอะไร ผมบอกว่า ไม่มี เขาบอกว่าเราต้องมีฉายาไว้โชว์บนโปสเตอร์ แล้วผมก็กลับบ้านไปเจอแม่ ผมบอกแม่ว่าผมต้องมีฉายานักกีฬา แม่เลยบอกว่า ‘เอาเป็น มังกร ก็แล้วกัน เพราะมันคือสิ่งที่ลูกเป็น’
และผมก็จำได้ว่าตอนที่ผมลงแข่งมวยไทยไฟต์ที่สองที่เมืองไทย ผมนั่งอยู่กับพื้นหลังเวที พยายามควบคุมลมหายใจ ทำสมาธิก่อนออกไปชก ที่นั่นมีควันธูปลอยคลุ้ง และผมเห็นควันธูปวนรอบตัวผมเป็นรูปร่างคล้ายมังกรเลยครับ มังกร จึงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญสำหรับผม อย่างที่แม่ผมพูด มังกร จะคอยปกป้องผมตอนที่ผมลงแข่ง”
มิทช์ ฝากผลงานการต่อสู้ใน ONE ไว้ทั้งสิ้น 5 ไฟต์ โดยเคยได้ประมือกับนักสู้ชาวไทยรุ่นบุกเบิกอย่าง “OneShin” ชนนภัทร วิรัชชัย มาแล้วด้วย
#จับไมค์หน้ากล้อง
มิทช์ ได้รับบทบาทใหม่อีกครั้งเมื่องทาง ONE เสนอให้เขารับหน้าที่เป็นผู้บรรยายเกมการแข่งขันในฐานะที่เขามีทั้งความรู้และประสบการณ์ตรงบนสังเวียนมาก่อน ซึ่งเขาก็ตอบรับทันที ซึ่งเขามองเห็นคุณค่าในอาชีพพิธีกรและผู้บรรยายที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเป็นนักกีฬาก่อนหน้านี้
“เมื่อทาง ONE เสนองานให้ผม ผมชอบงานนี้นะ ยิ่งผมศึกษา ผมก็ยิ่งรู้ ยิ่งผมเอาตัวไปฝึกฝน เรียนรู้ด้วยตัวเอง มันทำให้ผมมองเห็นรายละเอียดปลีกย่อยในเชิงลึก มันคือการเข้าใจว่านักสู้เหล่านั้นกำลังพยายามทำอะไรกับคู่ต่อสู้ และยิ่งผมมีประสบการณ์ตรงมากเท่าไหร่ ผมก็สามารถถ่ายทอดสู่แฟนกีฬาได้ดีเท่านั้นว่าอะไรที่เกิดขึ้นตรงหน้า”
“ผมเคยผ่านประสบการณ์แบบเดียวกับพวกเขา นักกีฬาทุกคนพยายามแสดงศิลปะการต่อสู้ออกมาให้เห็น ผมถึงพยายามบอกผู้ชมว่านักสู้เหล่านี้กำลังทำอะไร หรือพยายามจะทำอะไร และผมคิดว่าผมสามารถถ่ายทอดความคิดของนักสู้หลาย ๆ คนออกมาให้ผู้ชมทางบ้านรับรู้ได้ชัดเจนมากขึ้นครับ”
อ่านเพิ่มเติม: