ศิลปะการต่อสู้นำ “แด ซอง พาร์ค” ออกจากปัญหาและพาชีวิตสู่ความยิ่งใหญ่
“Crazy Dog” แด ซอง พาร์ค คือหนึ่งในนักสู้ดาวรุ่งที่เชื่อว่าเส้นทางใน วัน แชมเปียนชิพ จะทำให้เขาก้าวสู่จุดสูงสุด
ในศึก ONE: MASTERS OF DESTINY เขามีโอกาสพิสูจน์ฝีมืออีกครั้งกับ “คิมิฮิโร เอโตะ” จากญี่ปุ่น ซึ่งในวันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคมนี้ เขารอคอยโอกาสที่จะได้ฉายแสงต่อหน้าผู้คนมากมาย แต่ใครบ้างจะเชื่อว่า เขาเคยเกือบที่จะมาไม่ถึงจุดนี้เมื่อในอดีต
ก่อนหน้าที่ พาร์ค จะขึ้นสู้ในศึกที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาทำความรู้จักเขาให้มากขึ้นกัน
จากบ้านมาไกล
พาร์คเติบโตมาในเมืองจอนจู ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเกาหลีใต้กับพ่อแม่และพี่สาว เขาเป็นเด็กที่รักการเล่นกีฬา และเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้เทควันโดครั้งแรกเมื่อสมัยเรียนชั้นประถม กระทั่งจนถึงชั้นมัธยมปีที่ 2 เขาคือนักกีฬาตัวอย่างที่มีทั้งความมั่นใจและประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์ท้องถิ่น
ถึงกระนั้น จุดเปลี่ยนในชีวิตก็เกือบทำให้เขาไม่ได้มาถึงจุดนี้ เมื่อเขาเริ่มโตขึ้นและไม่สนใจการเล่าเรียน เหมือนอย่างเด็กวัยรุ่นเกาหลีคนอื่น
“ผมกลายเป็นคนขี้โมโห ฉุนเฉียว ผมเริ่มออกนอกลู่นอกทาง แล้วปัญหาก็ค่อยๆ ตามมา”
“ตอนมัธยมต้น ผมถูกพักการเรียนถึง 7 ครั้ง แต่ที่รอดจากการโดนไล่ออกมาได้ ก็เพราะโรงเรียนในระดับมัธยมต้นไม่สามารถไล่นักเรียนออกได้”
เริ่มต้นใหม่
เมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยมปลาย ชีวิตของ พาร์ค ก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิมสักเท่าไหร่ เพราะขณะที่นักเรียนหลายคนคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันแสนโหด แต่การเรียนยังคงเป็นปัญหาสำหรับเขา
“ผมปรับตัวเข้ากับชีวิตการเรียนไม่ได้เลย ผมจึงเลยตัดสินใจออกจากที่เดิม และไปสมัครเรียนในโรงเรียนกีฬา”
“โรงเรียนนั้นมีเป้าหมายในการฝึกฝนนักเรียนให้เป็นนักกีฬาโอลิมปิก มันเป็นโรงเรียนที่ยอดมาก และผมก็เริ่มฝึกมวยปล้ำสมัครเล่น”
เมื่อพาร์คเริ่มเข้าเรียนในวัย 18 ปี ปรากฏว่าเขามีอายุอานามแก่กว่าเพื่อนร่วมชั้นถึง 3 ปี แต่เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหากับเขา
เขาอยู่ภายในสภาพแวดล้อมที่ตื่นตัวกับการกีฬา ทำให้เขาตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า และซ้อมจนถึงพระอาทิตย์ตกดินทุกวัน จะมีเวลาพักก็แค่ช่วงทานอาหาร
“หลังจากผ่านการเรียนและฝึกซ้อมอย่างหนัก ประกอบกับได้เห็นเพื่อนร่วมชั้นทุกคนมีความมุ่งมั่นมุมานะ ผมก็เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง”
“ความโมโห ฉุนเฉียวในตัวผม ถูกขับออกมาในการฝึกซ้อม และสุดท้ายผมก็กลายเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม”
เมื่อความจริงเรียกหา
สิ่งที่ทำให้เจ้าของฉายา “Crazy Dog” เปลี่ยนจากการเล่นกีฬามวยปล้ำสมัครเล่น สู่ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน คือสิ่งที่ถูกปลูกฝังตั้งแต่สมัยเด็ก
“แม่ผมติดเคเบิลทีวีไว้ที่บ้าน สมัยผมเรียนมัธยมต้น แม่อยากให้ผมฝึกภาษาอังกฤษผ่านภาพยนตร์และละครจากต่างประเทศ”
“แล้วผมก็ไปถูกใจรายการที่มีนักสู้มาปะทะกันในวงกลมเหล็ก มันทำให้ผมตระหนักว่านี่คือสิ่งที่ผมอยากจะทำ ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงราวปี 2007 และยังไม่มีสถานที่ฝึกสอน Mixed Martial Arts แถวบ้านเลย”
เมื่อไม่มีที่เรียน เขาจึงเลือกที่จะฝึกในสิ่งที่ใกล้เคียงนั่นคือยูโด โดยมีแรงบันดาลใจจากนักสู้ที่เกิดในเกาหลีใต้อย่าง “โยชิฮิโร อากิยามา”
ที่สุดแล้ว เขาก็เจอสถานที่เรียน Mixed Martial Arts ในเมืองเกิด และทุ่มสุดตัวเพื่องานนี้
“ผมอยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น และอยากสัมผัสประสบการณ์แบบเดียวกับที่เคยเห็นในทีวีด้วยตัวเอง”
ก้าวต่อไป
เจ้าของฉายา “Crazy Dog” ตัดสินใจเดินหน้าสู่ระดับอาชีพ และแม้จะพ่ายแพ้ต่อนักสู้มากประสบการณ์กว่าในไฟต์แรก แต่หลังจากนั้นเขาก็ฟอร์มแรงไม่หยุด
พาร์ค ชนะ 8 ไฟต์รวดหลังจากนั้น และฟอร์มของเขาก็ไปเข้าตา “ริช แฟรงคลิน” รองประธาน วัน แชมเปียนชิพ ที่กำลังหานักสู้ไปร่วมศึกแข่งขัน ONE WARRIOR SERIES (OWS) เพื่อค้นหานักศิลปะการต่อสู้ซูเปอร์สตาร์ชาวเอเชียคนต่อไป
เขาคือ 1 ใน 3 นักกีฬาที่ได้ทำสัญญาแข่งขันในศึก วัน แชมเปียนชิพ ด้วยตัวเลข 6 หลัก หลังน็อกเอาต์ “คิมิฮิโร เอโตะ” ตั้งแต่ยกแรก อีกทั้งยังพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคู่ควรกับเวทีระดับโลกแห่งนี้ด้วยการคว้าชัยชนะในนัดเปิดตัว ในศึก ONE: PURSUIT OF POWER เมื่อเดือนกรกฎาคม 2018
แต่หลังจากนั้นเขาก็ประสบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด เมื่อนักสู้วัย 25 ปีต้องหยุดพักรักษาตัวเกือบหนึ่งปีเต็ม
โชคดีที่ พาร์ค ได้ไฟเขียวให้กลับสู่สังเวียนได้อีกครั้ง ซึ่งในตอนนี้เขาเชื่อว่าการกลับมาของเขาจะดีกว่าเดิม เมื่อผ่านฝึกซ้อมที่ MOB Training Center ในกรุงโซล
การขึ้นสังเวียนกับ เอโตะ เป็นครั้งที่สอง จะเป็นไต่บันไดขึ้นไปสู่ความสำเร็จของรุ่นนี้
“หลังจากสงสัยมานานว่าผมจะสามารถกลับมาได้อีกหรือไม่ ผมเรียนรู้แล้วว่าผมต้องการที่จะเป็นนักกีฬาศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานของ ONE ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“เป้าหมายสูงสุดคือการนำเข็มขัดแชมป์โลกกลับบ้าน แต่ผมไม่รีบร้อน ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ผมก็จะทำให้ได้”