เปิดปูมชีวิต: “อลาเวอร์ดี รามาซานอฟ” ผู้ท้าชิงแชมป์โลกที่ไต่บัลลังก์ด้วยฝีมือล้วน ๆ
เปิดประวัติ “อลาเวอร์ดี รามาซานอฟ” ผู้ท้าชิงบัลลังก์ “ราชันฆ่าไม่ตาย” น้องโอ๋ ไก่ย่างห้าดาว คนล่าสุด
“Babyface Killer” อลาเวอร์ดี รามาซานอฟ ผู้ท้าชิงชาวรัฐเซีย ที่จ้องจะตะครุบบัลลังก์มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต (145 ป.) ของ “ราชันฆ่าไม่ตาย” น้องโอ๋ ไก่ย่างห้าดาว ตาเป็นมัน ซึ่งจะเป็นคู่เอกของศึก ONE ลุมพินี นัดปฐมฤกษ์ วันศุกร์ที่ 20 ม.ค.66 ณ สนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา) โดยเริ่มคู่แรกเวลา 19.30 น. และเริ่มถ่ายทอดสดทางช่อง 7HD ตั้งแต่เวลา 20.30 น. เป็นต้นไป
“อลาเวอร์ดี” ถือเป็นนักชกที่แฟน ๆ หมัดมวยชาวไทยจะต้องจับตามองให้ดี เนื่องจากผลงานสร้างชื่อในสังเวียน ONE ล้วนแล้วแต่เป็นการคว่ำนักชกแถวหน้าของไทยมาแล้วหลายราย อาทิ “เพชรมรกต เพชรยินดีอะคาเคมี” “พงษ์ศิริ พี.เค. แสนชัยมวยไทยยิม“ รวมถึง “กัปปิตัน เพชรยินดีอะคาเคมี”
แต่กว่าที่ “อลาเวอร์ดี” จะได้ขึ้นเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นแบนตัมเวตกับ “น้องโอ๋” เขาต้องผ่านเรื่องราวและฝ่าฟันอุปสรรคมาไม่น้อย ซึ่งวันนี้เราจะขออาสาเปิดอีกมุมของ “อลาเวอร์ดี” ที่หลายคนยังไม่เคยรู้
#เส้นทางที่พ่อกำหนด
อลาเวอร์ดี และพ่อ
ครอบครัวของ “อลาเวอร์ดี” อาศัยอยู่ที่เมืองกิซล์ยาร์ (Kizlyar) ในดาเกสถาน ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตการปกครองรูปแบบสาธารณรัฐของประเทศรัสเซีย “อลาเวอร์ดี” เติบโตมาเหมือนกับเด็กผู้ชายทั่วไปที่ชอบออกไปเล่นนอกบ้านกับเพื่อน ๆ ตามถนนและที่สาธารณะ โดยมีคุณพ่อคอยกวดขันเขาในเรื่องการเรียน และคาดหวังว่าลูกชายจะประกอบอาชีพในวงการแพทย์ แต่ผลการเรียนของ “อลาเวอร์ดี” นั้นสวนทางกับความคาดหวังของพ่อไปมาก
อลาเวอร์ดี และแม่
เมื่อหนทางการเป็นหมอนั้นดูจะเกินเอื้อม คุณพ่อจึงเลือกเส้นทางสายกีฬาให้ “อลาเวอร์ดี” ได้เดินต่อโดยส่งเขาไปที่โรงเรียนสอนมวยสากล แต่ตอนนั้นเขาอายุเพียง 9 ขวบ ทางผู้ฝึกสอนได้แนะนำให้เขาไปเล่นกีฬาอื่นก่อน สุดท้ายก็ต้องไปจบลงที่กีฬาบาสเกตบอล
“โค้ชบอกว่าผมยังเด็กเกินไปที่จะฝึกมวยสากล และแนะนำให้พ่อพาผมไปเล่นบาสเก็ตบอล หรือฟุตบอลแทน จนกว่าผมจะอายุครบ 12 ปี ผมไม่ชอบบาสเกตบอล เรียกว่าเกลียดเลยก็ได้ จึงไม่มีทางเลยที่ผมจะทำมันได้ดี ผมก็ฝึกไปงั้น ๆ”
#แรงบันดาลใจจากศิลปะการต่อสู้
เมื่ออายุครบ 12 ปี “อลาเวอร์ดี” ไม่ได้เริ่มเรียนเรียนมวยปล้ำหรือมวยสากลในทันทีอย่างที่โค้ชเคยแนะนำเอาไว้ จนกระทั่งผ่านไปสองปี เขาได้รับการชักชวนจากเพื่อนให้ไปทดลองฝึกมวยไทย ซึ่งเขาก็หลงเสน่ห์ของมวยไทยตั้งแต่คลาสแรก ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศการเรียน การให้ความเคารพและสนับสนุนซึ่งกันและกันของเพื่อนร่วมชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโค้ช “อิบราฮิม ฮิดีรอฟ” ที่สอนให้ลูกศิษย์ได้เห็นคุณค่าและความสำคัญของการเรียนรู้ทักษะการต่อสู้
“เขาเป็นโค้ชที่เก่งมาก สำหรับพวกเราเขาเป็นมากกว่าโค้ช แต่ยังเปรียบเสมือนพ่อคนที่สองด้วย เขาปลูกฝังระเบียบวินัยให้พวกเรา คอยพร่ำสอนว่าเราต้องเป็นแชมเปียนทั้งในและนอกสังเวียน”
“สิ่งที่ผมได้จากการเรียนมวยไทย ช่วยให้ผมข้ามผ่านความลำบากในชีวิตหลายครั้ง และกีฬายังช่วยให้ผมเติบโต มีความมั่นใจ และมองโลกในแง่ดี”
ในช่วงแรก “อลาเวอร์ดี” เรียนมวยไทยเพื่อใช้เป็นศิลปะป้องกันตัวเท่านั้นแต่แล้วเขาก็ได้โอกาสขึ้นสังเวียนในฐานะนักมวยไทยสมัครเล่นในเวลาต่อมา ซึ่งผลการแข่งขันในช่วงแรกเขาพ่ายแพ้ติดต่อกันถึง 6-7 ครั้ง
แต่จุดแข็งของเขาคือ ไม่ว่าจะเเพ้สักกี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยคิดที่จะล้มเลิก เขากลับไปพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็สามารถคว้าเหรียญทองในการแข่งขันระดับภูมิภาค
จากนั้นตอนอายุ 16 ปีเขาคว้าแชมป์ระดับประเทศในการแข่งขัน All-Russia championship ซึ่งเป็นบันไดให้เขาได้กลายเป็นนักกีฬาทีมชาติ ก่อนที่จะคว้าแชมป์ IFMA World Championships ได้อีกสามสมัย
#คนที่ไม่เป็นที่ต้องการ
หลังจากคว้ารางวัลมากมาย “อลาเวอร์ดี” ตัดสินใจเข้าสู่การเป็นนักมวยอาชีพทันทีเมื่อเขาอายุพ้น 18 ปี โดยเขาตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาจะต้องได้รับการฝึกฝนมวยไทยจากครูมวยและคู่ซ้อมที่เก่งที่สุดในโลก และแน่นอนว่าเขาบินลัดฟ้ามาฝึกมวยไทยกับต้นตำรับที่ประเทศไทย
“ผมตระเวนหาค่ายมวยต่าง ๆ ในประเทศ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย กระทั่งวันหนึ่งผู้จัดการของผมตัดสินใจส่งผมมาที่ค่ายมวยในกรุงเทพฯ การฝึกซ้อมทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งผมแพ้ในการแข่งขันที่พวกเขาจัดให้ หลังจากนั้นการปฏิบัติที่พวกเขามีต่อผมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เหมือนกับพยายามจะบีบให้ผมออกจากค่าย”
ในความโชคร้ายก็ยังมีเรื่องดี ๆ อยู่ เมื่อเพื่อนของ “อลาเวอร์ดี” ที่อยู่เมือง ได้พาเขาเข้าสู่ปีกอันแข็งแกร่งของค่ายเวนัม (Venum) ชื่อดังแห่งเมืองพัทยา และนั่นคือจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของ “Babyface Killer”
“มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากนะครับกับการอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ผมมองไม่เห็นจุดหมายปลายทางในชีวิต มองไม่เห็นโอกาส ไม่รู้ว่าจะมีประตูบานไหนต้อนรับบ้าง ผมแค่ทุ่มเทความศรัทธาลงไป และฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อจะได้มีพื้นที่ของตัวเองในค่ายแห่งนี้”
#เป็นที่รู้จักชั่วข้ามคืน
และแล้วความพยายามของ “อลาเวอร์ดี” ก็ส่งผลเขาชนะการแข่งขันในรายการใหญ่ของเมืองไทย ได้ก้าวเข้ามาอยู่ในสังกัดขององค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง วัน แชมเปียนชิพ ในเดือนต.ค.61
“อลาเวอร์ดี” เปิดตัวใน ONE สุดปังด้วยการเอาชนะ “เพชรมรกต” หนึ่งในนักมวยแถวหน้าของไทย ด้วยคะแนนเอกฉันท์ในศึก ONE: KINGDOM OF HEROES จัดขึ้นที่ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี ทำเอาช็อกกองเชียร์เจ้าถิ่น และประกาศศักดานักมวยโนเนมที่คนไทยแทบไม่รู้จัก ให้กลายเป็นที่จดจำในชั่วข้ามคืน
“ทุกวันนี้ เวลาใครแนะนำผม เขาจะบอกว่าคนนี้ไงที่ชนะ เพชรมรกต จริง ๆ เขาเป็นไอดอลคนหนึ่งของผมนะ และมันเหลือเชื่อมากที่เขากลายมาเป็นคู่แข่งบนเวที ชัยชนะครั้งนั้นถือเป็นก้าวสำคัญที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพผมทีเดียว”
#สูงสุดสู่สามัญ
“อลาเวอร์ดี” ขึ้นถึงจุดสูงสุดด้วยการข้ามสายไปชิงแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นแบนตัวเวตกับ “จาง เฉิงหลง” และคว้าเข็มขัดแชมป์โลก ONE อันทรงเกียรติมาครอบครองได้สำเร็จ เมื่อเดือน ธ.ค.62
น่าเสียดายที่เข็มขัดเส้นนี้ก็อยู่กับเขาได้ไม่นาน โดยหลังจากต้องห่างสังเวียนร่วมปีเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด “อลาเวอร์ดี” ได้คิวป้องกันตำแหน่งครั้งแรก และเสียเข็มขัดแชมป์โลกเส้นนี้ให้กับ “กัปปิตัน” ไปในเดือน ม.ค. 64
แต่ “อลาเวอร์ดี” เสียใจอยู่ไม่นาน เขาลุกขึ้นมาปั้นฟอร์มใหม่ในสายมวยไทยกติกาที่ถนัด โดยสามารถน็อก “พงษ์ศิริ” ในยกแรกภายใน 10 เดือนหลังจากเสียเข็มขัดคิกบ็อกซิ่งไป ต่อมาเขาได้โอกาสสางแค้นกับอริเก่า “กัปปิตัน” และเบียดเอาชนะคะเเนนไม่เอกฉันท์ถอนแค้นได้สำเร็จ ก้าวขึ้นรั้งอันดับสองของแรงกิง ONE มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต
“อลาเวอร์ดี” ตั้งเป้าที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งในฐานะแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต โดยทุ่มเทเตรียมความพร้อมและเปี่ยมไปด้วยมั่นใจเกินร้อยว่าตัวเองจะสามารถโค่นบัลลังก์ของ “น้องโอ๋” ได้ในศึกครั้งสำคัญนี้
ติดตาม “อลาเวอร์ดี vs น้องโอ๋” นัดปฐมฤกษ์ ศึก ONE ลุมพินี ในวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 ณ สนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา) แฟนกีฬาชาวไทยสามารถจองบัตรเข้าชมในสนามผ่านทาง https://bit.ly/3iJBC8d โดยคู่แรกเริ่มเวลา 19.30 น. และถ่ายทอดสดทางช่อง 7 HD ตั้งแต่เวลา 20.30 น.
อ่านเพิ่มเติม: