“จามาล ยูซูพอฟ” จากอดีตยาม สู่การเป็นนักสู้ม้ามืดผู้สร้างชื่อระดับโลกในคืนเดียว
ชื่อของ “Kherow” จามาล ยูซูพอฟ อาจไม่คุ้นหูแฟนหมัดมวยชาวไทยนัก ทั้ง ๆ ที่เขาคว้าแชมป์ในต่างประเทศมาหลายรายการ แต่หลังจาก จามาล น็อกเจ้าตำนานที่ยังมีลมหายใจอย่าง “ยอดแสนไกล ไอเว แฟร์เท็กซ์” เมื่อปลายปี 2562 ก็ทำให้ชื่อเสียงของเขาเป็นที่จดจำไปทั่วโลก และคว้าฟาสต์แทร็กเข้ามารั้งอยู่ในอันดับที่ 2 ของแรงกิง ONE มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต ในทันทีรองจาก “ซุปเปอร์บอน” และแชมป์โลก “เพชรมรกต เพชรยินดีอะคาเดมี”
เป็นระยะเวลากว่า 1 ปีที่ จามาล หายหน้าไปเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บที่ต้องพักฟื้นร่างกาย บวกกับวิกฤติโควิด-19 ทำให้ จามาล เพิ่งมีโอกาสหวนคืนสังเวียน วัน แชมเปียนชิพ เป็นครั้งที่สองในศึก ONE: COLLISION COURSE II ซึ่งจะออกอากาศในวันศุกร์ที่ 25 ธันวาคมนี้ โดยเผชิญหน้ากับคู่แข่งซึ่งรั้งอันดับ 4 ของแรงกิงอย่าง “AK47” เซมี ซานา
ก่อนที่ จามาล จะยกระดับชื่อชั้นของตัวเองในวงการหมัดมวยระดับโลกอย่างทุกวันนี้ เขาเคยเป็นใครและทำอะไรมาก่อน เรื่องราวของเขาน่าสนใจจนเราอยากให้ทุกท่านได้รู้จักเขาไปพร้อม ๆ กัน
เกิดในหมู่บ้านนักสู้
https://www.instagram.com/p/BIj1Rkfj_-f/
จามาล เติบโตในหมู่บ้านเทลมาน ในดาเกสถาน ประเทศรัสเซีย เขาเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 9 คนที่เกิดจาก มาลูดา และ ซาลาฮุดดีน พ่อแม่ที่ประกอบอาชีพเกษตรกร แม้เขาจะไม่สามารถได้ทุกอย่างที่อยากได้ แต่เขาก็มีความสุขอยู่กับครอบครัว
ชีวิตในเทลมาน ทุกคนทำงานประกอบอาชีพสุจริต ต่างคนมีหน้าที่ จามาล เองนอกจากไปเรียนหนังสือก็ยังช่วยพ่อแม่ทำความสะอาดบ้าน และดูแลสัตว์ในฟาร์ม เด็กๆ ในหมู่บ้านไปโรงเรียนและเข้ากันได้ดี บางทีก็เล่นนอกบ้านกันจนดึกดื่น โดยไม่ต้องกังวลอันตรายอะไร ทุกคนอยู่อย่างปลอดภัยและสงบสุข
เมื่อ จามาล เรียนจบ เขามีทางเลือกน้อยมาก ระหว่างการเรียนต่อ หรือเกณฑ์ทหาร ซึ่งแน่นอนว่าเด็กที่ไม่ค่อยสนใจเรียนอย่างเขา อยากไปฝึกทหารมากกว่า แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเพราะเขาตรวจสมรรถภาพร่างกายไม่ผ่าน จึงต้องอาศัยอยู่ที่บ้าน ก่อนจะย้ายไปอยู่เมืองบุยนักสค์เพื่อหางานทำ ซึ่งที่นั่นทำให้เขาค้นพบชีวิตในแบบที่ต่างออกไป
ค้นพบศิลปะการต่อสู้
https://www.instagram.com/p/CHnucj4JMqv/
จะด้วยชะตาชีวิต หรือชีวิตลิขิตเองก็ตาม จามาล ออกสู่โลกกว้างและได้พบกับยิมสอนมวยสากล เขาจำได้ว่าช่วงนั้นเขาชอบดูการแข่งขันชกมวยสากลและ K1 และคิดว่ามันน่าจะดีถ้ามีโอกาสได้ฝึกฝนศาสตร์แขนงนี้
แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเขาอีกแล้ว จามาล ในวัย 21 ปีดูแก่เกินแกงที่จะปลุกปั้น ทางค่ายปฏิเสธเขาเพราะไม่อยากเสียเวลาเปล่า
จามาล เหมือนคนอกหัก แต่ไม่นานนักเขาก็ได้รู้จักค่ายมวยไทยใกล้ๆ กัน ซึ่งมี “ยูซูฟ ปาตาคอฟ” เป็นเจ้าของ เขาต่างจากเจ้าของค่ายมวยที่ จามาล เคยรู้จัก เขาอ้าแขนรับ ซึ่งในตอนนั้น จามาล ต้องการฝึกมวยเพื่อเป็นงานอดิเรกเท่านั้น และสามเดือนต่อมาเขาก็ได้ลงแข่งขันระดับสมัครเล่นครั้งแรก
https://www.instagram.com/p/BIj1XUUDt4B/
“โค้ชบังคับให้ผมลงแข่งขันในดาเกสถาน เขาบอกว่าผมพร้อมแล้ว แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น และผมก็แปลกใจมากที่ผมคว้าที่ 3 มาได้ แต่หลังจากนั้นผมก็พ่ายยับในทัวร์นาเมนต์ระดับชาติ เพราะผมลดน้ำหนักได้ไม่ดี และสูญเสียกำลังไปมาก”
แม้ จามาล จะไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนั้น แต่โค้ชมวยไทยรายหนึ่งนามว่า “ซีนาลเบค ซีนาลเบคอฟ” ผู้เคยฝึกฝนแชมเปียนมามากมาย กลับมองเห็นศักยภาพในตัวเขา และชวนให้ จามาล ไปเรียนกับเขาที่เมืองมาฮัชกาลา แถมยังโน้มน้าวให้ จามาล ขยับขึ้นเป็นนักชกอาชีพ ซึ่ง จามาล ปฏิเสธโอกาสนี้ไปเพราะเขาไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าเรียนและค่าที่อยู่อาศัย
ย้ายไปมอสโก
https://www.instagram.com/p/BLAz94IhJII/
จามาล เข้าสู่โหมดการหางานอีกครั้ง เขาทำอย่างที่คนหนุ่มสาวรัสเซียส่วนใหญ่ทำกัน ก็คือ ย้ายไปเมืองหลวงที่กรุงมอสโก งานแรกที่เขาได้คือการเป็นยาม แต่เขาก็ยังคิดถึงการชกมวยและอยากจะกลับไปลงแข่งขันอีก โชคดีที่เขาได้รู้จักกับโค้ช “อเล็กเซย์ ไรซอฟ” ซึ่งสามารถหาทางพาเขากลับเข้ายิมได้อีกครั้ง
“โค้ชจัดโปรแกรมการซ้อมให้ผมแบบฟรีๆ โดยติดต่อไปยังสหพันธ์มวยไทยรัสเซียเพื่อขอความช่วยเหลือ เขารับหน้าที่เป็นโปรโมเตอร์ของผม และมักจะควักกระเป๋าตัวเองเป็นค่าตัวเพิ่มให้ผมอยู่บ่อยๆ”
ไม่นานหลังจากนั้น จามาล ก็ออกจากงานเป็นยาม และกลายมาเป็นโค้ชอยู่ที่ฟิตเนส มาเนีย ร่วมกับนักมวยสากลชื่อดังระดับนานาชาติอย่าง “คอสยา ซู” แถมยังได้ร่วมแข่งขันในฐานะตัวแทนของยิมอีกด้วย
ระยะเวลา 6 ปีที่ทำงานในฟิตเนส มาเนีย จามาล คว้าแชมป์ระดับชาติรัสเซียถึง 6 รายการ ทั้งในกติกามวยไทยและคิกบ็อกซิ่ง รวมถึงแชมป์คิกบ็อกซิ่งยุโรป ซึ่งชัยชนะเกือบครึ่งหนึ่งมาจากการน็อกเอาต์
https://www.instagram.com/p/BIj1kaMjAHn/
ชีวิตของ จามาล ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปี 2560 เขาได้รับโอกาสให้ลงแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ 8 คนที่ประเทศจีน แม้จะมีเวลาเตรียมตัวเพียงสัปดาห์เดียว แต่ จามาล ก็ตกปากรับคำทันที
ศึกแรกในแดนมังกร จามาล คว้าชัยชนะ และสร้างความประทับใจให้กับคนที่นั่น ทำให้เขาได้รับข้อเสนอให้เป็นผู้ฝึกสอนเป็นการถาวร ซึ่ง จามาล ตอบรับอย่างไม่ลังเล เพราะที่ประเทศจีนมีโอกาสมากมายชนิดที่ประเทศบ้านเกิดของเขาเทียบไม่ได้
“ผมชอบประเทศจีน เมื่อเทียบกับมอสโกแล้ว ชีวิตผมดีขึ้นและเร่งรีบน้อยลง ผมสามารถเดินทางกลับดาเกสถานได้ทุกสามเดือน ทำให้ผมตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นี่”
เปิดตัวใน วัน แชมเปียนชิพ
จามาล สร้างชื่อให้ตัวเองในประเทศจีน ทั้งในฐานะโค้ชและนักกีฬา เขาเคยเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่าง มารวน ทูทูห์, อาลิม นาบิเอฟ และ “The Immortal” รีเกียน เออร์เซล ซึ่งภายหลังคู่แข่งรายนี้กลายมาเป็นแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นไลต์เวต จามาล เองก็ใฝ่ฝันที่จะเข้ามาอยู่ในสังกัดนี้เช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าจะต้องติดต่อใครอย่างไร
ในที่สุดโชคก็เข้าข้าง เมื่อทีมประกบคู่ของ วัน แชมเปียนชิพ ติดต่อเขาและเสนอให้ขึ้นชกในฐานะมวยแทน เจอกับ “ยอดแสนไกล ไอเว แฟร์เท็กซ์” ในศึก ONE: AGE OF DRAGONS ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในเดือนพฤศจิกายน 2562
“ผมรู้ดีว่าถ้าผมปฏิเสธ ผมอาจไม่มีโอกาสได้ชกกับนักสู้บิ๊กเนมระดับนี้อีกเลย มันไม่สำคัญว่าผมจะชนะหรือแพ้ ผมต้องการพิสูจน์ตัวเอง”
มวยรองจากรัสเซียยอมรับคำท้าโดยรู้ตัวล่วงหน้าก่อนแข่งขันเพียง 10 วัน ขณะที่ ยอดแสนไกล ขึ้นเครื่องจากเมืองไทยบุกไปถึงถิ่นของ จามาล ด้วยความมั่นใจว่าจะคว้าชัยชนะเป็นครั้งที่ 202
แต่แล้วเหตุกาณ์สุดช็อกก็เกิดขึ้น เมื่อ จามาล น็อกเจ้าตำนานชาวไทยด้วยหมัดซ้ายเพชฌฆาต ยัดเยียดความปราชัยในการแข่งขันชกมวยไทยครั้งแรกในรอบ 10 ปี และจารึกชื่อ “จามาล ยูซูพอฟ” ไว้ในประวัติศาสตร์ที่ทำให้ทั่วโลกจดจำเขาได้ในชั่วข้ามคืน
“มันเป็นความรู้สึกที่น่าประทับใจมากสำหรับผม และคงเป็นชัยชนะที่จะอยู่ในความทรงจำที่ดีที่สุดของผมไปตลอดกาล”
หลายคนมองว่าชัยชนะครั้งนั้นของ จามาล เป็นเรื่องฟลุก อย่างไรก็ตามเขาก็ได้สิทธิ์ขึ้นชิงบัลลังก์แชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวตกับ “เพชรมรกต เพชรยินดีอะคาเดมี” เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่ง จามาล พลาดโอกาสครั้งสำคัญเนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้เขาต้องถอนตัว โดยทาง วันฯ ได้นักมวยขัดตาทัพคือ “พงษ์ศิริ พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม” มาเสียบแทน
ในวันศุกร์ที่ 25 ธันวาคมนี้ จามาล จะได้กลับมาพิสูจน์ว่าความสำเร็จของเขาไม่ใช่เรื่องฟลุก แม้จะร้างสังเวียนไปกว่าหนึ่งปี แต่ก็หาได้เกรงกลัวคู่แข่งอย่าง “เซมี ซานา” ไม่ ซึ่งชัยชนะครั้งนี้อาจทำให้เขาเข้าใกล้โอกาสในการท้าทายบัลลังก์กับ เพชรมรกต อีกครั้งก็ได้ ใครจะรู้!
อ่านเพิ่มเติม:
