“จามาล ยูซูพอฟ” จากอดีตยาม สู่การเป็นผู้ท้าชิงเขย่าบัลลังก์ “ตะวันฉาย”
ย้อนเรื่องราวชีวิตของ “จามาล ยูซูพอฟ” นักสู้ตัวจริงทั้งในและนอกสังเวียนผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ถีบตัวเองจากศูนย์สู่การเป็นนักมวยไทยแถวหน้าระดับโลก
“Kherow” จามาล ยูซูพอฟ ชื่อนี้แฟน ๆ หมัดมวยชาวไทย อาจจะจดจำเขาได้ในฐานะที่เคยน็อกเจ้าตำนานที่ยังมีลมหายใจอย่าง “ยอดแสนไกล ไอเว แฟร์เท็กซ์” ในช่วงปลายปี 2562 และคว้าฟาสต์แทร็กเข้ามารั้งอยู่ในอันดับที่ 2 ของแรงกิง ONE มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต (155 ป.) ทันที
แม้จะต้องร้างสังเวียนไปกว่าหนึ่งปี “จามาล” ก็กลับมาคว้าชัยชนะเหนือ “AK47” เซมี ซานา นักชกจากแอลจีเรียด้วยคะแนนเอกฉันท์ และในไฟต์ล่าสุด “จามาล” ตอกย้ำความแกร่งด้วยการปราบนักมวยไทยสายดุอย่าง “โจ ณัฐวุฒิ” ได้อย่างอยู่หมัด
จนในตอนนี้ “จามาล” ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ท้าชิงแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต (155 ป.) กับเจ้าบัลลังก์ “ตะวันฉาย พีเค. แสนชัยมวยไทยยิม” ในศึก ONE FIGHT NIGHT 7: จอห์น vs ฟาบริซิโอ II วันเสาร์ที่ 25 ก.พ.66
ก่อนที่ “จามาล” จะขึ้นสังเวียนชิงบัลลังก์แชมป์โลกที่จะถึงนี้ เขาเคยเป็นใครและทำอะไรมาก่อน เรื่องราวของเขาน่าสนใจจนเราอยากให้ทุกท่านได้รู้จักเขาไปพร้อม ๆ กัน
#เกิดในหมู่บ้านนักสู้
“จามาล” เป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 9 คนที่เกิดจาก มาลูดา และ ซาลาฮุดดีน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเทลมาน ในดาเกสถาน ประเทศรัสเซีย โดยครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกร “จามาล” ใช้ชีวิตในเทลมานได้อย่างสงบสุขและปลอดภัยในทุก ๆ วัน โดยไม่ต้องกังวลอันตรายอะไร หลักจากเลิกเรียน “จามาล” มีหน้าที่ช่วยพ่อแม่ทำความสะอาดบ้าน และดูแลสัตว์ในฟาร์ม
แต่เมื่อ “จามาล” เรียนจบ เขามีทางเลือกไม่มาก ระหว่างการเรียนต่อ หรือเกณฑ์ทหาร ซึ่ง “จามาล” เองก็ไม่ได้สนใจเรื่องเรียนเท่าไหร่ จึงเลือกที่จะไปฝึกทหาร แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเพราะเขาตรวจสมรรถภาพร่างกายไม่ผ่าน ทำให้เขาต้องย้ายไปอยู่เมืองบุยนักสค์เพื่อที่จะหางาน ซึ่งที่นั่นทำให้เขาค้นพบชีวิตในแบบที่ต่างออกไป
#ค้นพบศิลปะการต่อสู้
การได้ออกมาสู่โลกกว้างเหมือนเป็นโชคชะตาที่พาให้ “จามาล” ได้มาพบกับยิมสอนมวยสากล ซึ่งในช่วงนั้นเขามีความสนใจและชอบดูการแข่งขันมวยสากลและ K1 จึงมีความคิดที่จะไปลองฝึกฝนศาสตร์แขนงนี้ แต่ด้วยวัย 21 ปีที่ดูแก่เกินแกงที่จะมาเริ่มจะปลุกปั้น ทางค่ายปฏิเสธเขาเพราะไม่อยากเสียเวลาเปล่า
“จามาล” ต้องผิดหวังอีกครั้ง แต่ไม่นานเขาก็ได้พบกับค่ายมวยไทยในระแวกใกล้ ๆ กัน ซึ่งมี “ยูซูฟ ปาตาคอฟ” เป็นเจ้าของ มีปฏิกิริยาที่ต่างจากเจ้าของค่ายมวยอื่น ๆ เขาอ้าแขนรับ “จามาล” เข้ามาฝึกมวย แม้จะฝึกเพื่อเป็นงานอดิเรกเท่านั้น และสามเดือนต่อมาเขาก็ได้ลงแข่งขันระดับสมัครเล่นครั้งแรก
“โค้ชบังคับให้ผมลงแข่งขันในดาเกสถาน เขาบอกว่าผมพร้อมแล้ว แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น และผมก็แปลกใจมากที่ผมคว้าที่ 3 มาได้ แต่หลังจากนั้นผมก็พ่ายยับในทัวร์นาเมนต์ระดับชาติ เพราะผมลดน้ำหนักได้ไม่ดี และสูญเสียกำลังไปมาก”
แม้ “จามาล” จะยังไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนั้น แต่โค้ชมวยไทยชื่อว่า “ซีนาลเบค ซีนาลเบคอฟ” ผู้เคยฝึกฝนแชมเปียนมามากมาย มองเห็นในศักยภาพของ “จามาล” และยังชวนให้ไปเรียนกับเขาที่เมืองมาฮัชกาลา ไม่เพียงแค่นั้น โค้ชยังพยายามโน้มน้าวให้ “จามาล” ขยับขึ้นเป็นนักชกอาชีพ แต่ “จามาล” ก็ต้องปฏิเสธโอกาสนี้ไปเนื่องจากไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าเรียนและค่าที่อยู่อาศัย
#ย้ายถิ่นสู่มอสโก
ชีวิตของ “จามาล” ยังต้องดิ้นรนต่อไป เขาย้ายไปเมืองหลวงที่กรุงมอสโกและหางานทำอีกครั้ง งานแรกที่เขาได้คือการเป็นยาม แต่ในใจเขาก็ยังคิดถึงการชกมวยและอยากจะกลับไปลงแข่งขันอีก ในที่สุดโชคก็เข้าข้าง เขาได้รู้จักกับโค้ช “อเล็กเซย์ ไรซอฟ” ซึ่งสามารถหาทางพาเขากลับเข้ายิมได้อีกครั้ง
“โค้ชจัดโปรแกรมการซ้อมให้ผมแบบฟรี ๆ โดยติดต่อไปยังสหพันธ์มวยไทยรัสเซียเพื่อขอความช่วยเหลือ เขารับหน้าที่เป็นโปรโมเตอร์ของผม และมักจะควักกระเป๋าตัวเองเป็นค่าตัวเพิ่มให้ผมอยู่บ่อย ๆ”
ไม่นาน “จามาล” ก็ได้ลาออกจากการเป็นยาม และได้มาทำงานเป็นโค้ชอยู่ที่ฟิตเนส มาเนีย ร่วมกับนักมวยสากลชื่อดังระดับนานาชาติอย่าง “คอสยา ซู” และ “จามาล” ยังได้เข้าร่วมแข่งขันในฐานะตัวแทนของยิมอีกด้วย
ระยะเวลา 6 ปีที่ทำงานในฟิตเนส มาเนีย “จามาล” คว้าแชมป์ระดับชาติรัสเซียถึง 6 รายการ ทั้งในกติกามวยไทยและคิกบ็อกซิ่ง รวมถึงแชมป์คิกบ็อกซิ่งยุโรป ซึ่งชัยชนะเกือบครึ่งหนึ่งมาจากการน็อกเอาต์
เส้นทางชีวิตสายนักสู้ของ “จามาล” ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนในปี 2560 เขาได้รับโอกาสใหญ่ให้ลงแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ 8 คนที่ประเทศจีน ที่รู้ล่วงหน้าเพียงสัปดาห์เดียว “จามาล” ก็ไม่ปล่อยโอกาสหลุดมือตอบตกลงทันที
ศึกแรกในแดนมังกร “จามาล” คว้าชัยชนะ และสร้างความประทับใจให้กับคนที่นั่น ทำให้เขาได้รับข้อเสนอให้เป็นผู้ฝึกสอนเป็นการถาวร ซึ่ง “จามาล” ตอบรับอย่างไม่ลังเล เพราะที่ประเทศจีนมีโอกาสมากมายชนิดที่ประเทศบ้านเกิดของเขาเทียบไม่ได้
“ผมชอบประเทศจีน เมื่อเทียบกับมอสโกแล้ว ชีวิตผมดีขึ้นและเร่งรีบน้อยลง ผมสามารถเดินทางกลับดาเกสถานได้ทุกสามเดือน ทำให้ผมตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นี่”
#แจ้งเกิดใน ONE
“จามาล” สร้างชื่อเป็นที่รู้จักในประเทศจีน ทั้งในฐานะโค้ชและนักกีฬา เขาเคยเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่าง มารวน ทูทูห์, อาลิม นาบิเอฟ และ “The Immortal” รีเกียน เออร์เซล ซึ่งรายหลังดำรงตำแหน่งแชมป์โลก ONE สองกติกา (คิกบ็อกซิ่งและมวยไทย) รุ่นไลต์เวต (170 ป.) ในปัจจุบัน ส่วน “จามาล” เองก็ใฝ่ฝันที่จะได้เข้าร่วมสังกัด ONE แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร
และในที่สุดโอกาสที่เขาใฝ่ฝันก็วิ่งเข้าหา เมื่อทีมประกบคู่ของ วัน แชมเปียนชิพ ติดต่อเขาและเสนอให้ขึ้นชกในฐานะมวยแทน เพื่อเจอกับเจ้าตำนานมวยไทย “ยอดแสนไกล ไอเว แฟร์เท็กซ์” ในศึก ONE: AGE OF DRAGONS ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในเดือนพฤศจิกายน 2562
“ผมรู้ดีว่าถ้าผมปฏิเสธ ผมอาจไม่มีโอกาสได้ชกกับนักสู้บิ๊กเนมระดับนี้อีกเลย มันไม่สำคัญว่าผมจะชนะหรือแพ้ ผมต้องการพิสูจน์ตัวเอง”
“จามาล” รับคำท้าโดยรู้ตัวล่วงหน้าก่อนแข่งขันเพียง 10 วัน และต้องประจันหน้ากับมวยไทยระดับพระกาฬอย่าง “ยอดแสนไกล” ที่บุกมาถึงถิ่นด้วยความมั่นใจว่าจะสานต่อชัยชนะครั้งที่ 202 ให้ตัวเอง
แต่แล้วเหตุกาณ์ช็อกโลกก็เกิดขึ้น เมื่อ “จามาล” จัดน็อกเจ้าตำนานชาวไทยด้วยหมัดซ้ายเพชฌฆาต ยัดเยียดความปราชัยในการแข่งขันชกมวยไทยครั้งแรกในรอบ 10 ปีของ “”ยอดแสนไกล” และชื่อของ “จามาล ยูซูพอฟ” ก็เป็นที่จดจำในชั่วข้ามคืนในฐานะผู้โค่นตำนานมวยไทย
“มันเป็นความรู้สึกที่น่าประทับใจมากสำหรับผม และคงเป็นชัยชนะที่จะอยู่ในความทรงจำที่ดีที่สุดของผมไปตลอดกาล”
#ขึ้นแท่นผู้ท้าชิงบัลลังก์
ตามเดิม “จามาล” ได้สิทธิ์ขึ้นชิงบัลลังก์แชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวตกับ “เพชรมรกต เพชรยินดีอะคาเดมี” ที่เป็นแชมป์โลกอยู่ในเวลานั้น หลังจากที่น็อก “ยอดแสนไกล” ไปอย่างช็อกโลก แต่ “จามาล” พลาดโอกาสครั้งสำคัญเนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้เขาต้องถอนตัว
อาการบาดเจ็บและสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื่อไวรัสโควิด-19 ทำให้ “จามาล” ต้องร้างสังเวียนไปนับปี แต่เขากลับมาแสดงพลังอีกครั้งในช่วงปลายปี 2563 ด้วยการเอาชนะ “เซมี” นักชกจากแอลจีเรียด้วยคะแนนเอกฉันท์
ล่าสุดนักมวยจอมแกร่งวัย 39 ปี คืนสังเวียน ONE อีกครั้งในเดือน ก.ค.65 โดยเผชิญหน้านักมวยสายอินดีฟอร์มดุ “โจ ณัฐวุฒิ” และเป็นฝ่ายชนะคะแนนอย่างขาดลอย
ส่งให้ “จามาล” ได้สิทธิ์ขึ้นท้าชิงบัลลังก์อีกครั้งในฐานะผู้ท้าชิงอันดับสองของแรงกิง ONE มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต แต่ในครั้งนี้เข็มขัดได้เปลี่ยนมือไปอยู่ที่ “ตะวันฉาย” แล้วเมื่อเดือนกันยายน 2565 เท่ากับว่า “จามาล” ได้เป็นผู้ท้าชิงรายแรกที่จะมาเขย่าบัลลังก์แชมป์โลกคนใหม่
การรอคอยอันยาวนานของ “จามาล” ที่จะได้แตะบัลลังก์แชมป์โลก ONE กำลังจะสิ้นสุดในศึก ONE FIGHT NIGHT 7: จอห์น vs ฟาบริซิโอ II ที่จะถ่ายทอดสดจากสนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา) ในช่วงไพรม์ไทม์อเมริกา ซึ่งตรงกับช่วงเช้าเวลา 08.00 น. ของวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 ตามเวลาประเทศไทย
แฟน ๆ กีฬาสามารถติดตามความคืบหน้าของศึก ONE FIGHT NIGHT 7 ได้ที่นี่ และโซเชียลมีเดียของ ONE ทุกช่องทาง โดยสามารถจองบัตรเข้าชมในสนามล่วงหน้าได้แล้วตอนนี้ที่ www.thaiticketmajor.com