ฝ่าคลื่นชีวิต “ซุปเปอร์บอน” จากสูงสุดสู่สามัญและวันที่ไร้เข็มขัดพาดบ่า
ย้อนเส้นทางการต่อสู้จากสูงสุดสู่สามัญของอดีตราชันคิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต “ซุปเปอร์บอน สิงห์มาวิน” ที่ผ่านทั้งร้อนหนาว ความสำเร็จและความผิดหวัง ซึ่งกลายเป็นบทเรียนสำคัญทำให้เขาเรียนรู้และแข็งแกร่งขึ้นเพื่อกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในฐานะแชมป์โลก ONE อีกครั้ง
“ซุปเปอร์บอน สิงห์มาวิน” ถือเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้มากที่สุดคนหนึ่งของวงการ แม้จะเริ่มต้นจากมวยไทยแต่เขากลับไปสร้างชื่อในกติกาคิกบ็อกซิ่ง โดยได้ออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์และกวาดเข็มขัดแชมป์จากหลายเวทีทั่วโลก จนกระทั่งไต่เต้าขึ้นเป็นนักชกคิกบ็อกซิ่งแถวหน้าระดับโลก ซึ่งเป็นนักชกชาวไทยเพียงไม่กี่คนที่ได้รับการยอมรับในระดับนี้
ตัวพ่อคิกบ็อกซิ่งจากจังหวัดพัทลุง ยิ่งฉายแววความเก่งเมื่อก้าวเข้าสู่ชายคา ONE ที่ซึ่งเขาสร้างปรากฏการณ์โลกตะลึงด้วยการสยบนักชกคิกบ็อกซิ่งเก่งกาจที่สุดตลอดกาล “จอร์จิโอ เปโตรเซียน” ด้วยลูกเตะก้านคอบันลือโลก ส่งให้เขานั่งแท่นแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต (145-155 ป.) คนแรกในประวัติศาสตร์ ONE และได้รับการยอมรับว่าเป็นนักชกคิกบ็อกซิ่งที่เก่งที่สุดในโลกอย่างไร้ข้อกังขา
จากการน็อกเอาต์ที่ทำเอาแฟนกีฬาทั่วโลกอ้าปากค้าง ทำให้เขาซิวรางวัลจาก ONE ถึงสองรางวัลด้วยกัน ได้แก่ นักชกยอดเยี่ยม (มวยไทย/คิกบ็อกซิ่ง) และ น็อกเอาต์ยอดเยี่ยม (มวยไทย/คิกบ็อกซิ่ง) ซึ่งถือว่าเป็นปีทองของ “ซุปเปอร์บอน” ก็ว่าได้
จากนั้น “ซุปเปอร์บอน” ยังคงประกาศศักดานักชกคิกบ็อกซิ่งเบอร์หนึ่งของโลกด้วยการปราบ “มารัต กริกอเรียน” ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักชกคิกบ็อกซิ่งที่เก่งที่สุดเมื่อเทียบปอนด์ต่อปอนด์ในขณะนั้น ในศึกป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกครั้งแรกของตัวเองเมื่อเดือน มี.ค.65 นั่งบัลลังก์ต่อเป็นสมัยที่สอง
หลังครองบัลลังก์อยู่ได้ปีเศษ “ซุปเปอร์บอน” ก็ต้องยอมรับคำนำหน้าว่า “อดีตแชมป์โลก” เมื่อถูกกระชากเข็มขัดจากผู้ท้าชิง “ชิงกิซ อัลลาซอฟ” ดีกรีแชมป์คิกบ็อกซิ่ง เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ รุ่นเฟเธอร์เวต แพ้น็อกแค่ในยกสองท่ามกลางความตะลึงงันของคนดูทั้งสนาม
ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนคือสิ่งแน่นอนที่ปุถุชนทุกผู้ทุกคนต้องประสบพบเจอ ซึ่งชีวิตของ “ซุปเปอร์บอน” ก็ยืนยันสัจธรรมดังกล่าวได้ดี วันนี้ เราจะพาไปอัปเดตชีวิต “ซุปเปอร์บอน” ว่าเขาฝ่าคลื่นลมของความเสียใจและผิดหวังมาได้อย่างไรในวันที่ไร้เข็มขัดพาดบ่า
แน่นอนว่าความพ่ายแพ้และต้องเสียเข็มขัดไป สร้างความบอบช้ำทางใจให้แก่ “ซุปเปอร์บอน” มากพอสมควร โดยเจ้าตัวก็ยืดอกยอมรับความผิดพลาด พร้อมกับเก็บเป็นบทเรียนและแรงผลักดันที่ทำให้เขากระหายกว่าเดิมหลายเท่าที่จะไปทวงแชมป์คืนมา
“ผมไม่อยากแก้ตัวอะไรครับ ผมยอมรับว่าไฟต์นั้นผมประมาทด้วย และก็ต้องเปลี่ยนเวลาชกด้วยทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผลก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น ผมไม่เคยแพ้ใครในการชกระดับนี้มาประมาณ 7-8 ปี แล้ว ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ จึงเป็นสัญญาณเตือนใจว่าการชกในระดับนี้ ผมจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด เมื่อเรายืนตรงจุดนี้ และผมก็จะกลับไปทำแบบเดิมที่ผมทำมาโดยตลอดคือ ล้มแล้วลุก ซ้อมหนักกว่าเดิมเพื่อเอาชนะกลับคืนมาให้ได้ครับ”
“ผมยอมรับว่าผมเสียใจมาก ผมอยากกลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด แต่ไม่มีใครย้อนเวลาได้ สิ่งที่เราทำได้คือแก้ไขสิ่งที่รู้สึกผิดอยู่ ณ วันนี้ และเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่วันนี้เพื่อรอโอกาสครั้งหน้าที่เราจะได้แก้ไขอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อไหร่ที่ได้โอกาสนั้นมาก็จะทำให้ดีที่สุด แล้วเราก็จะไม่เสียใจครับ”
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ “ซุปเปอร์บอน” ฟื้นคืนกำลังใจขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วคือการได้ออกไปพบปะแฟน ๆ ผ่านการสัมมนามวยไทยในต่างแดนทั้งในยุโรปและอเมริกา แม้ในวันที่เขาไม่มีตำแหน่งแชมป์โลก ONE ติดตัวแล้ว แต่ก็ยังมีแฟนคลับให้การต้อนรับและต้องการเข้ามาศึกษาวิชามวยไทยกับเขาอย่างล้นหลาม
“ผมมีโปรแกรมไปสัมมนาก่อนชกไฟต์ชิงแชมป์นั้นอยู่แล้ว ตอนนั้น ผมรู้สึกไม่มั่นใจที่จะไปให้ความรู้คนอื่น เพราะผมเพิ่งจะแพ้มา กังวลว่าเขาจะมาเรียนกับเราไหม แต่ พี่เพชรทนง พูดกับผมว่า คนที่ต้องการมาเรียนกับเราคือคนที่อยากได้ความรู้จากเรา หน้าที่ของเราคือส่งต่อความรู้ให้เขา ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะ คนเหล่านั้นก็อยากมาเรียนกับเราอยู่ดี เพราะความรู้ยังอยู่ในตัวเรา ไม่ได้หายไปกับความพ่ายแพ้ของเรา”
“ผมก็เลยกลับไปตั้งใจสอน และอย่างที่เห็นครับว่ามีแฟนคลับในอเมริกาและยุโรปมาเรียนมวยไทยกับเราเยอะมาก แต่ละยิมที่เราเปิดสอนมีคนเรียนประมาณเกือบร้อยคน อย่างที่สวิตเซอร์แลนด์ มีคนมาเรียน 130 คน นี่คือสิ่งที่ผมทำและผู้คนยอมรับในความสามารถของผมซึ่งมันส่งพลังบวกให้ผมมากเลยครับ”
หลังจากกำลังใจกลับมาเต็มเปี่ยม “ซุปเปอร์บอน” พร้อมกลับคืนสังเวียนอีกครั้งเพื่อกลับมาทวงศรัทธา โดยจะเผชิญหน้ากับ “ไทฟุน ออสแคน” ผู้รั้งอันดับ 5 ของแรงกิง ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต ในศึก ONE FIGHT NIGHT 11: รีเกียน vs ดีมิทรี ที่จะถ่ายทอดสดจากสนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา) ในช่วงเวลาไพรม์ไทม์อเมริกา ซึ่งตรงกับเวลา 07.00 น. ของวันเสาร์ที่ 10 มิ.ย.66
โดยเจ้าตัวยอมรับว่าศึกนี้มีความหมายยิ่งกว่าศึกชิงแชมป์ครั้งใด ๆ และจะเป็นไฟต์ชี้ชะตาว่าเขาจะได้โอกาสกลับคืนสู่บัลลังก์ที่เคยครองได้หรือไม่
“ไฟต์นี้สำคัญมากสำหรับชีวิตการชกของผมเลยครับ สำคัญมากกว่าศึกชิงแชมป์ที่ผ่านมาเสียอีก ครั้งนี้ผมจะพลาดไม่ได้ เพราะถ้าผมแพ้ซ้ำสองอีก ผมอาจจะไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกแล้ว และผมจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด จะไม่พลาดแน่นอนครับ”
ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวังในครั้งที่แล้วนะครับ กีฬามันมีผิดพลาดกันได้ และก็ขอขอบคุณแฟน ๆ ที่ยังให้กำลังใจผมอยู่เยอะมาก ผมจะกลับมาเริ่มใหม่ จะทำให้คนที่ยังเชียร์และให้กำลังใจผมกลับมาภูมิใจในตัวผมให้ได้ครับ”
ติดตามข่าวสารและความคืบหน้าของศึกนี้ได้ที่นี่และโซเชียลมีเดียของ ONE ทุกช่องทาง ได้แก่ เฟซบุ๊ก ONE Championship Thailand เว็บไซต์ www.onefc.com และอินสตาแกรม ONEChampTh