Throwback Thursday: “นักชกผู้ชนะมะเร็ง” เกือบ 4 ปีแล้วที่มะเร็งไม่กลับมา
เชื่อว่าหลายท่านน่าจะผ่านหูผ่านตากับเรื่องราวชีวิตสุดมหัศจรรย์ของนักชกไทยที่ “มะเร็งฆ่าไม่ตาย” สิงห์ทองน้อย ป.เตละกุล กันมาบ้าง
อดีตแชมป์สนามมวยเวทีลุมพินี และนักมวยยอดเยี่ยมสนามมวยเวทีราชดำเนิน ผู้ที่เคยเกรียงไกรบนสังเวียนผืนผ้าใบเมื่อกว่า 10 ปีก่อน เขาเคยต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้นอกสังเวียนที่ไม่ได้เดิมพันด้วยการชนะน็อก หรือชนะคะแนน…แต่ด้วย ‘ชีวิต’!
จากเริ่มต้นเพียงแค่อาการหูอื้อ ไม่ค่อยได้ยิน กลายเป็นมะเร็งระยะที่ 3 ที่งอกขึ้นมา 2 จุดในโพรงจมูกและลำคอ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา สิงห์ทองน้อย ยืนยันว่าไม่เคยสูบบุหรี่ และมีสุขภาพที่ดีเพราะเขาเป็นนักกีฬาและเทรนเนอร์ อีกทั้งอายุตอนนั้นก็เพียง 36 ปี แม้แต่หมอเองก็วินิจฉัยสาเหตุไม่ได้
เวลานั้น สิงห์ทองน้อย ทำงานเป็นครูมวยอยู่ที่ยิมใหญ่ในประเทศสิงคโปร์อย่าง Evolve MMA เขาถูกส่งตัวให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ซึ่งเขาบอกว่าเป็นโรงพยาบาลที่คนมีอันจะกินเข้าไปรักษากัน ภายใต้การดูแลค่าใช้จ่ายของ “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” เจ้าของยิม และผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ วัน แชมเปียนชิพ
“ผมใช้เวลารักษาอยู่ 3 เดือนกว่า ทำเคมีบำบัดไป 7 ครั้ง รังสีบำบัดอีก 36 ครั้ง บอกเลยครับว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผมลำบากและทรมานมาก”
“ผมกินอะไรไม่ได้ ปากลิ้นไม่รู้รสชาติอาหาร เดินไปไหนก็จะอ้วก เพราะมันเป็นผลของยา แขนขาผมไม่มีแรง ขนาดว่าผมเป็นนักกีฬายังทรมานขนาดนี้ ผมถึงเข้าใจเวลาที่คนเขาบอกว่ามันไม่ไหวจริงๆ เพราะเขาต้านฤทธิ์ยาไม่ไหว”
ถึงวันนี้ผ่านมาแล้วเกือบ 4 ปี สิงห์ทองน้อย ยังต้องเข้าไปตรวจเช็คบริเวณโพรงจมูกและลำคอทุก 3 เดือน ตามคำแนะนำของแพทย์ รวมถึงแสกนทั่วร่างกายปีละครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าศัตรูร้ายนี้จะไม่กลับมาเยือนอีก
😊ฉลอง ฟังผลตรวจมะเร็งสะแกนทั่วร่างกายเมื่อวานวันนี้หมอบอกว่ามะเร็งหายขาด แต่หมอบอกว่าให้ระวังโรคโควิด19😄 Thanks you krub 🙏
Posted by ซุ้มไก่ชนสิงห์ทองน้อย ไก่เชิง ก๋อยพัฒนา on Monday, April 6, 2020
“ผมโชคดี เพราะถ้าไม่มาเจอพี่ชาตรี ผมคงไม่มีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ แกให้ผมรักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ค่ารักษาเป็นหลักล้าน พูดง่ายๆ แกเป็นเหมือนคนที่ให้ชีวิตใหม่กับผมครับ”
ชีวิตของ สิงห์ทองน้อย วัยใกล้ 40 ปีในวันนี้ก็เปรียบเสมือนทะเลที่สงบหลังจากเจอพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง มันทำให้เขาเข้าใจชีวิตมากขึ้นและใช้ชีวิตบนรากฐานของความไม่ประมาท
เขายังคงมีความสุขกับการทำงานเป็นครูมวย มีความภาคภูมิใจ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ที่ได้ทำงานในยิมอันดับหนึ่งที่มีบรรดาแชมป์โลกเท่านั้นที่จะมาเป็นผู้ฝึกสอนที่นี่ได้ ซึ่งเขา “นักชกผู้ชนะมะเร็ง” ก็ได้เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: เปิดเรื่องจริงของ “สิงห์ทองน้อย” นักสู้ที่มะเร็งฆ่าไม่ตาย