ชีวิตพลิกผันของ “ซุปเปอร์บอน” จากนักมวยโนเนมสู่แชมป์โลก ONE
ถือเป็นอีกหนึ่งนักสู้ฟอร์มแกร่งที่น่าจับตามากที่สุดในชั่วโมงนี้ สำหรับ “ซุปเปอร์บอน สิงห์มาวิน” แชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต หลังป้องกันเข็มขัดครั้งแรกด้วยการเอาชนะ “มารัต กริกอเรียน” ไปด้วยฟอร์มที่สุดยอด ในศึก ONE X เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ ชีวิตบนสังเวียนนักสู้ของแชมป์โลกวัย 31 ปีจากพัทลุง ไม่ได้มีพรมแดงปูทางแต่อย่างใด เพราะทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นล้วนแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและคราบน้ำตาทั้งสิ้น
สำหรับ ซุปเปอร์บอน เริ่มต้นชีวิตนักสู้ในค่ายมวยของครอบครัว ภายใต้ชื่อ “ลูกเจ้าแม่สายวารี” จากนั้นในวัยหลังทำบัตรประชาชน เขาตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองกรุงเพื่อสร้างชื่อบนเวทีมาตรฐาน จนเป็นเริ่มที่รู้จักในวงกว้าง
ชีวิตของช้างเผือกจากภูธรรายนี้ เริ่มไต่กราฟพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ หลังผงาดแชมป์ประเทศไทยในรุ่นไลต์เวต 135 ปอนด์ รวมถึงการรับใช้ชาติในศึกมวยไทยสมัครเล่นชิงแชมป์โลก “อิฟมา เวิล์ด แชมเปียนชิพ” จนได้แชมป์ 3 ปีซ้อน รวมถึงแชมป์ต่าง ๆ อีกมากมาย
ซุปเปอร์บอน ยอมรับว่า การไต่เต้าจากนักมวยโนเนมจนมาเป็นถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ “โอกาส” คือสิ่งที่หายากมาก ในตอนที่ยังไม่มีใครรู้จักเขา
“ผมคิดว่าการไต่ขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดมันยาก เพราะตอนที่เราไม่มีใครรู้จัก เราได้แต่เป็นเพียงแค่ตัวประกอบ การหาโอกาสขึ้นชกแต่ละครั้งเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะว่าชื่อเรายังขายไม่ได้ เรื่องการตลาดหรือการหาคู่ก็ยากตามไปด้วย”
“แต่ผมมองว่าเราเองก็ต้องทำให้เห็นว่าเราเก่งจริง และพยายามสร้างโอกาสให้กับตัวเองด้วย เพื่อให้คนรอบข้างมองมาที่เรา และเราก็พยายามทำผลงานให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ”
และเมื่อโอกาสมาถึงหน้าบ้าน ซุปเปอร์บอน ก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือไป โดยเขาได้พิสูจน์ตัวเองในสังเวียนระดับโลกอย่าง ONE แบบไร้ข้อกังขาเมื่อสามารถปราบ “จอร์จิโอ เปโตรเซียน” ขึ้นครองบัลลังก์คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต ได้สำเร็จ จากนั้นมา ชีวิตทั้งในและนอกสังเวียนของเขาต้องอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ไปโดยปริยาย
“ตอนนี้ชีวิตเปลี่ยนไปในแง่ที่ว่า ทุกคนจะให้ความสนใจในสิ่งดี ๆ หรือเรื่องที่เรากำลังพยายามทำอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ผมก็ซ้อมเป็นเรื่องปกติมาตลอดชีวิต แต่มูลค่าในตัวเองยังไม่มี เหมือนเราทำงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จ คนทั่วไปก็ยังไม่ได้ให้ค่าเราเท่าไหร่”
“แต่พอวันหนึ่งที่เราประสบความสำเร็จ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด อยากได้อะไรก็ได้ ทั้งสปอนเซอร์และงานก็เข้ามามากขึ้น ชื่อเสียงคนรู้จักก็มีมากขึ้น ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นกว่าเดิมมากครับ”
อาจกล่าวได้ว่า ตอนนี้ นักสู้วัย 31 ปีจากพัทลุงที่ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวมานับสิบปี สั่งสมทั้งชื่อเสียงและเกียรติยศมามากมายได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดในฐานะแชมป์โลกซึ่งเป็นเป้าหมายของนักกีฬาทุกคน
อย่างไรก็ตาม ซุปเปอร์บอน ยังคงมองว่าความสำเร็จในวันนี้เป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่งที่จะพาให้เขาก้าวสู่เป้าหมายต่อไปที่จะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
“ตอนนี้ผมคงไม่ปฏิเสธว่ากำลังอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพ เพราะในรุ่นนี้ผมไม่กลัวใครแล้ว เอาชนะมาได้เกือบทั้งหมด แต่ผมคิดว่า นี่ยังไม่ใช่ฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเอง ผมยังเก่งได้มากกว่านี้ ถ้าได้ซ้อมมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
ต่อจากนี้ ซุปเปอร์บอน ตั้งปณิธานว่าจะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง พร้อมกับเปิดรับความท้าทายใหม่ที่จะเข้ามาในอนาคต โดยแง้มว่าอยากจะขอล่าเข็มขัดแชมป์โลกมวยไทยอีกเส้นเป็นรางวัลชีวิต
เหนือสิ่งอื่นใด ซุปเปอร์บอน ยังคงตามล่าความสำเร็จที่มีความหมายยิ่งกว่าการได้ครองตำแหน่งแชมป์โลก นั่นคือการสร้างชื่อให้แฟนมวยได้จดจำในวันที่ต้องอำลาสังเวียนไปแล้วว่า ซุปเปอร์บอน คือนักสู้ที่เก่งสุดตัวจริงของวงการ
อ่านเพิ่มเติม: