เลือกยิมไหนดี? สำหรับให้ลูกเรียน “ศิลปะป้องกันตัว”
ยินดีต้อนรับ คุณพ่อคุณแม่หัวก้าวหน้าที่มีความสนใจพาบุตรหลานเข้าเรียนศิลปะการป้องกันตัว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เข้ามาอ่านบทความนี้
การเลือกสถานที่และคลาสเรียนศิลปะป้องกันตัวให้ลูกสาวและลูกชาย ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายไม่ใช่น้อย นอกเหนือจากคำถามที่ว่า “เรียนอะไร” ที่ถูกใจลูกที่สุด เหมาะสมที่สุด และดีที่สุดแล้ว ปัจจัยต่างๆ ที่จะต้องพิจารณาตามมาก็คือเรื่องของ “สถานที่ฝึกสอน” และ “ครูผู้สอน” นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมคุณจึงต้องอ่านบทความนี้ เพราะนี่คือสิ่งที่คุณจะต้องพิจารณาทั้งหมดก่อนที่คุณจะตัดสินใจ
ความปลอดภัยของสถานที่ฝึกสอน
เป็นธรรมชาติของคนเป็นพ่อแม่อยู่แล้ว ที่ย่อมห่วงใยเรื่องความปลอดภัยและสวัสดิภาพของลูกรัก
สถานที่ฝึกสอนที่ดีนั้น จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสำหรับการเรียนการสอนอย่างครบถ้วนและเพียงพอ อาทิ เบาะ, สนับแข้ง, เฮดเกียร์, อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และอุปกรณ์ป้องกันตัวอื่นๆ ที่จำเป็น
ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ควรต้องมีความรู้ในการรับมือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน จริงอยู่ที่เจ้าหน้าที่และครูผู้สอนในยิมส่วนใหญ่ล้วนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี รวมถึงรู้วิธีปฏิบัติเบื้องต้นเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลและ CPR อยู่แล้ว แต่ถ้าเราจะสอบถามอีกครั้ง หรือขอดูใบรับรองจากพวกเขาด้วยก็จะยิ่งเพิ่มความอุ่นใจให้คุณพ่อคุณแม่ได้มากขึ้น
ก่อนตัดสินใจเลือกยิมไหน คุณควรเข้าไปเยี่ยมชมสถานที่ เพื่อดูความพร้อมของอุปกรณ์ต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด และดูวิธีการสอนของครูด้วย พร้อมกับถามตัวเองว่า สภาพแวดล้อมต่างๆ และแนวทางการสอนของครูมีความปลอดภัยกับลูกหรือยัง
สายสัมพันธ์ของครูผู้สอนกับเด็ก
ให้มองหาสถานที่ฝึกสอนที่ครูผู้สอนให้ความสำคัญกับ “ความพยายาม” มากกว่า “ผลลัพธ์”
การเรียนศิลปะป้องกันตัวเป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาบุตรหลานของคุณให้มีความมั่นใจตัวเองและนับถือตัวเอง แต่มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อครูผู้สอนเข้าใจและสนับสนุนความพยายามของเด็ก
ครูผู้สอนบางคนอาจเป็นคนเก่ง เป็นจุดขายประจำยิม แต่พวกเขาสามารถทำให้ลูกของคุณสนใจเขาไปตลอดทั้งคลาสได้หรือเปล่า เด็กจะเกิดทัศนคติที่ดีและมีแรงจูงใจในการเรียน (ไม่ว่าเรียนอะไร) ส่วนหนึ่งก็มาจากครูผู้สอน และการปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับผู้เรียน
การที่เราจะรู้ว่าลูกกับครูผู้สอนนั้นมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหรือไม่ เบื้องต้นคุณควรพาเขาไปทดลองเรียนก่อนการสมัครจริง เพื่อดูพฤติกรรมของครูผู้สอนที่มีต่อลูกของคุณ และฟีดแบ็กที่ลูกมีต่อครูผู้สอน
แม้จะเป็นเวลาแค่คาบเรียนเดียว แต่คุณก็จะพอมองออกในระดับหนึ่งแล้วว่า ลูกสบายใจที่จะเรียนกับครูคนนั้นๆ หรือไม่ และตัวคุณพอที่จะมอบความไว้วางใจให้เขาดูแลดวงใจของคุณหรือเปล่า ซึ่งไม่มีทางที่จะได้คำตอบนี้ หากไม่ได้ทดลองด้วยตัวของลูกคุณเอง
โครงสร้างการเรียนการสอน
ให้ตรวจสอบว่าสถานที่ฝึกสอนนั้นมีหลักสูตรศิลปะการป้องกันตัวที่เหมาะสำหรับอายุของบุตรหลานของคุณหรือเปล่า
พ่อแม่แต่ละคนมีเหตุผลและแรงกระตุ้นต่างกัน ในการส่งลูกเข้าเรียนศิลปะการต่อสู้ คุณควรนึกถึงเป้าหมายและพิจารณาว่าสถานที่ฝึกสอนแห่งนั้น สามารถพัฒนาลูกของคุณให้ไปสู่เป้าหมายที่คุณและลูกตั้งใจไว้ได้อย่างเหมาะสมหรือไม่
ในชั้นเรียนศิลปะการต่อสู้เดียวกัน สามารถปรับให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันได้ ยกตัวอย่างคลาสเรียนยิวยิตสู จะมีการสไตล์การเรียนการสอนที่แตกต่างกันสองประเภท อย่างแรกคือสอนแบบมุ่งเน้นการพัฒนาฝีมือเพื่อลงแข่งขัน กับอีกอย่างคือให้ความสำคัญกับการเอาไปใช้ป้องกันตัวมากกว่า ซึ่งไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ก็ไม่มีถูกหรือผิดทั้งนั้น เพราะมันขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่คุณและลูกตั้งใจไว้เป็นสำคัญ
อย่าลืมดูที่จำนวนของผู้เรียนด้วย ถ้าในคลาสนั้นมีจำนวนผู้เรียนมาก ก็อาจทำให้ครูผู้สอนดูแลได้ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ลูกเรียนช้ากว่าเพื่อนๆ ในคลาส ทำนองเดียวกันหากมีผู้เรียนมาก และครูก็เพิ่มมากขึ้นในสัดส่วนที่เหมาะสม ปัญหานี้ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น
ยิงคำถามให้ถูกจุด
ให้เตรียมคำถามที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับครูผู้ฝึกสอน เพื่อช่วยคลายความกังวลใจว่าโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้นั้นๆ จะเหมาะกับลูกของคุณหรือไม่
ถ้าคุณอยากจะรู้จักครูผู้สอนเป็นรายบุคคล ก็ลองเข้าไปที่เว็บไซต์ของสถาบันฝึกสอนนั้นๆ เพื่อตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของครูผู้สอนแต่ละคน แต่นั่นไม่อาจทำให้คุณได้สัมผัสจิตวิญญาณของความเป็นครูของพวกเขาได้เลย
คุณควรนัดหมายเพื่อพบปะ และสนทนากับครูผู้สอนเป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยสอบถามเกี่ยวกับภูมิหลังและประสบการณ์การสอนของพวกเขาว่ามีมากน้อยเพียงใด การคุยกับครูจะทำให้คุณได้เห็นบุคลิกลักษณะ ทัศนคติ วิธีการสื่อสาร ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะมีผลต่อการจูงใจลูกของคุณในคลาสเรียนด้วย
การมีส่วนร่วม
ถ้าครูผู้สอนสามารถทำให้คลาสเรียนศิลปะป้องกันตัวนั้นสนุกสนานและน่าสนใจสำหรับเด็กๆ ได้ล่ะก็ พวกเขาก็จะยิ่งมีชีวิตชีวากับการเรียนรู้
ระหว่างที่คุณเยี่ยมชม ให้ถือโอกาสสังเกตบรรยากาศในคลาสเรียนไปด้วย ทั้งแววตาและท่าทางของเด็กๆ ในคลาสเป็นอย่างไร พวกเขาให้ความสนใจและสนุกกับสิ่งที่กำลังเรียน หรือได้มีส่วนร่วมอะไรบ้างหรือเปล่า
ถ้าคำตอบทุกอย่างที่ผ่านมาทั้งหมดคือใช่ คุณก็มั่นใจได้เลยว่า คุณได้สรรหาสถานที่ฝึกสอนและครูผู้สอนที่ดีที่สุดให้แก่ลูกคุณแล้ว และพวกเขาจะมีช่วงเวลาดีๆ ในคลาสเรียนศิลปะการป้องกันตัว และพร้อมที่จะซึมซับสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างมีประสิทธิภาพ
อ่านเพิ่มเติม: