“ดิมิเทรียส จอห์นสัน” พุ่งเป้าเข้าหา “อาเดรียโน โมราเอส” พ.ศ.หน้า
เป็นปีที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นสำหรับ “Mighty Mouse” ดิมิเทรียส จอห์นสัน ที่ได้ร่วมแข่งขันใน ONE เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ รุ่นฟลายเวต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบสุดท้ายที่ได้เจอกับนักสู้ดาวรุ่งจากฟิลิปปินส์ “The King” แดนนี คิงกาด และสามารถคว้าชัยชนะมาได้แบบหืดขึ้นคอ ในศึก ONE: CENTURY PART I
ความสำเร็จครั้งนี้ไม่อาจทำให้นักสู้ชาวอเมริกันอย่าง ดิมิเทรียส (ดีเจ) หยุดมองการณ์ไกลที่จะคว้าเข็มขัดแชมป์โลกจาก “Mikinho” อาเดรียโน โมราเอส มาครอบครอง
“การแข่งขัน 3 ไฟต์ในหนึ่งปี ผมเองไม่เคยทำแบบนี้เลยนับตั้งแต่ปี 2013 ดังนั้นผมจึงรู้สึกเหนื่อยมาก และตอนนี้ผมอยากกลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว”
“ผมต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งเก่งๆ ถึง 3 คน ทั้ง แดนนี คิงกาด, ยูยะ วากามัตสึ และ ทัตสึมิตสึ วาดะ ทุกคนล้วนแล้วแต่สุดยอดทั้งนั้น และผมมีความสุขที่ออกมาพร้อมกับชัยชนะ”
ดีเจ ต้องปะทะกับตัวแทนจากทีมลาไคย์อย่าง คิงกาด ที่มีทั้งความหนุ่มและกระหายชัยชนะ แต่สุดท้ายเขาก็โชว์ฟอร์มเหนือชั้นขั้นกว่าใน “บ้านแห่งศิลปะการต่อสู้” วัน แชมเปียนชิพ
เขาได้รับบาดเจ็บมาบ้างในสองรอบที่ผ่านมา แต่เมื่อเดินหน้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ ดีเจ แสดงให้เห็นว่าทำไมผู้คนถึงกล่าวขานว่าเขาเป็นถึงระดับ “ตำนาน” ซึ่งไม่ได้มาโดยง่าย และฟอร์มการแข่งขันในคืนนั้นก็สุดประทับใจ หลังจากสยบนักสู้หนุ่มชาวฟิลิปปินส์ได้อย่างอยู่หมัด
“มันเป็นไฟต์ที่สุดยอดมาก แดนนี คิงกาด และนักสู้จากทีมลาไคย์เอาตัวรอดได้อย่างดีเยี่ยม เวลาที่คุณคิดว่าคุณอยู่ในตำแหน่งที่ทำซับมิชชันได้แน่ ๆ แต่พวกเขาก็จะหาจังหวะเอาตัวรอดได้ตลอด”
“เมื่อเราเข้าปล้ำกัน ผมพยายามที่จะใช้ท่าคิมูระ และเขาก็เอาตัวรอด พอเขาใช้ท่าคิมูระกับผมบ้าง มันก็โอเคนะ เพราะผมจะซับมิชชันเขาด้วยท่าอาร์มบาร์ แต่เขาก็ดิ้นหลุดไปได้อีก จากนั้นเมื่อผมจะใช้ท่ากิโยติน เขาก็ยังรอดไปได้ เขาดิ้นเก่งอย่างกับปลา”
แม้ว่าจะปิดเกมไม่ได้แต่ในที่สุด ดีเจ ก็ยังได้รับการชูมือในฐานะผู้ชนะเลิศของการแข่งขัน ONE เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ รุ่นฟลายเวต ซึ่งการร่วมแข่งขันในทัวร์นาเมนต์แบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย ถือเป็นความฝันอันยาวนานของ จอนห์นสัน นับตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก
“ผมเติบโตขึ้นมาในฐานะแฟนศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานตัวยง ดีวีดีแผ่นแรกที่ผมซื้อคือ PRIDE Openweight Grand Prix ระหว่าง โคร ค็อป กับ จอช บาร์เน็ตต์”
“ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ผมจะได้โอกาสในการแข่งขัน เพราะว่าผมตัวเล็ก ดังนั้นผมจึงรู้สึกปลื้มใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
นับตั้งแต่มีการประกาศแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ผู้เข้าร่วมแข่งขันทุกคนก็ทราบดีว่าหากไปได้ตลอดรอดฝั่ง มันคงไม่ใช่แค่เข็มขัดแชมป์วาววับเส้นใหม่ที่รอพวกเขาอยู่ แต่นั่นหมายถึงโอกาสในการดวลกับแชมป์โลกของรุ่นนี้อย่าง “อาเดรียโน โมราเอส”
“แน่นอนว่าเป้าหมายต่อไปก็คือการโค่นแชมป์ อาเดรียโน โมราเอส นักสู้ผู้ทรหด จอมแกร่งของรุ่นฟลายเวต และเป็นนักปล้ำจับล็อกผู้เก่งกาจ ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องกลับบ้านก่อน ไปศึกษาว่าจุดอ่อนของเขามีอะไรบ้าง จากนั้นก็ค่อยมาเดินหน้ากันต่อไป”
“เราจะต้องกลับไปสู้กันแบบ 5 ยก ซึ่งผมคิดว่าผมสามารถทำได้ดีกว่านี้ ผมยังมีเวลาในการปรับตัวและศึกษาคู่แข่ง ผมคงต้องให้เวลาตัวเองได้พักบ้าง และหากว่าผมสามารถเลือกได้ ผมก็ต้องการที่จะขึ้นเวทีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมปีหน้า ผมจะให้ร่างกายของผมได้ผ่อนคลาย ทำร่างกายให้แข็งแรง แล้วค่อยกลับมาฝึกซ้อมกันใหม่”