จากจุดเริ่มต้นของ “โกเทตสึ โบกุ” สู่การเป็นนักสู้แถวหน้าของวงการ
มีนักศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานชาวญี่ปุ่นเพียงไม่กี่คนที่ขึ้นชื่อว่ามีสไตล์การต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นและเป็นที่รู้จักเทียบเท่ากับ “No Face” โกเทตสึ โบกุ
เจ้าของแชมป์โลก ONE รุ่นไลต์เวต คนแรกของรายการ ผู้ที่มีสถิติการชกกว่า 41 ครั้ง ตลอดระยะเวลาร่วม 2 ทศวรรษ ในระดับอาชีพ แต่เป้าหมายของเขายังคงเหมือนเดิม คือการสร้างความสนุกสนานเร้าใจให้กับแฟนๆ
ก่อนที่เขาจะหวนคืนสังเวียนในศึก ONE: DREAMS OF GOLD วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคมนี้ ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เพื่อเผชิญหน้ากับ “ธานฮ์ เล” นักสู้ชาวเวียดนาม-อเมริกัน เรามาย้อนความหลังเกี่ยวกับเรื่องราวของเขาในอดีต และเหตุผลว่าทำไมศิลปะการต่อสู้จึงเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
วินัยที่ได้จากศิลปะการต่อสู้
ครอบครัวของโบกุ มาจากประเทศเกาหลีใต้ แต่ตัวเขาเองเกิดที่เมืองกุนมะ ประเทศญี่ปุ่น และเติบโตมาพร้อมกับพี่ชาย 2 และน้องสาวฝาแฝด
เขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยลงรอยกับพี่ชาย และรู้สึกอึดอัดกับความคาดหวังจากสังคมในประเทศญี่ปุ่น อย่างเช่น ระบบโรงเรียนที่มีความเข้มงวดแก่เด็กๆ มาก
“พ่อของผมเข้มงวดมาก แต่เขาไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่ แม่ของผมจึงเป็นคนดูแลเรื่องต่างๆ ซึ่งแม่ไม่เคยบังคับให้ผมเรียนหนังสือ ผมไม่ชอบอะไรที่เกี่ยวกับวิชาการเลย”
“การไม่ชอบไปเรียนหนังสือ ทำให้ผมใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในวัยเด็ก ผมคอยสร้างแต่ปัญหา คุณครูจึงตำหนิผมตลอดเวลา และไล่ออกนอกห้อง ภาพความทรงจำเกี่ยวกับโรงเรียนจึงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”
“ผมมักจะมีเรื่องมีราวอยู่ตลอดเวลา พี่ชายชอบรังแกผม ผมจึงนำเอาความเครียดติดตัวไปโรงเรียน แต่ตอนนี้ผมกับพี่ชายเราเข้ากันได้ดีแล้ว”
เขาเริ่มรู้สึกสนใจในศิลปะการต่อสู้เพราะมันเป็นหนทางในการระบายความเครียด และช่วยให้เขารู้สึกสงบและมีความสมดุล
“ผมเริ่มชกมวยครั้งแรกตอนอายุ 18 ปี และคลุกคลีอยู่กับมันราว 3 ปี ซึ่งจริงๆ ผมอยากลองฝึกศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน แต่ ณ เวลานั้นมันไม่มีโรงยิม ผมจึงตัดสินใจไปเรียนชกมวยแทน”
“ผมไม่ได้แข่งมากเท่าไหร่ และเป็นเพียงระดับสมัครเล่นเท่านั้น ผมชอบที่มันสนุก ทำให้ผมมีเป้าหมายและมีแนวทางของตัวเอง”
การพบปะครั้งสำคัญ
โบกุ ได้ตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับอาชีพของตัวเองหลังจากที่ได้พบกับ “KID” โนริฟูมิ ยามะโมโตะ ผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานระดับตำนานชาวญี่ปุ่น ซึ่งสอนเขาเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นหากหวังที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นแนวคิดของเหล่านักรบ
“ผมรู้จัก KID ตอนปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเราออกไปปาร์ตี้ที่เมืองชิบูยา เรากลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ก่อนจะเริ่มฝึกซ้อมด้วยกันที่โรงยิมของเขาที่มีชื่อว่า คิลเลอร์บี”
“KID แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ เขาสอนผมให้รู้จักมวยปล้ำและการต่อสู้ การลดน้ำหนักก่อนจะถึงการแข่งขัน เขาออกไปสู้ตามแผนที่วางไว้และคว้าชัยชนะ ซึ่งตัวผมเรียนรู้วิธีการต่อสู้ด้วยหัวใจมาจากเขา”
“เขาสอนผมเกี่ยวกับการสะกดจิตใจตัวเองก่อนการแข่งขัน บอกตวเองว่าเราทำได้ เราต้องน็อกคู่ต่อสู้ได้ การเอาชนะด้วยคะแนนนั้นไม่เพียงพอ มันน่าเบื่อและไม่มีใครจดจำคุณได้”
โบกุ ค้นพบสถานที่ๆ เรียกว่าบ้าน เต็มไปด้วยความสงบ และมีทิศทางในชีวิตที่เขามักจะหลีกเลี่ยงมาตลอดในช่วงที่ศึกษาอยู่ที่โรงเรียน
เจ้าของฉายา “No Face” กลายเป็นหนึ่งในนักกีฬาซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดสุดจากองค์กรชั้นนำหลายแห่งที่ญี่ปุ่น เนื่องจากบุคลิกภาพของเขาและความสามารถในการสร้างความบันเทิง นอกจากนี้เขายังได้ช่วยสร้าง “เครซี่ บี ยิม” ในเมืองโอตะ เมื่อปี 2008 ซึ่งเขาก็อยู่ที่นั่นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จุดสูงสุดและจุดต่ำสุด
ในปี 2012 โบกุได้เปิดตัวบนสังเวียน วัน แชมเปียนชิพ ในศึก RISE OF KINGS ก่อนจะสร้างประวัติศาสตร์ในการคว้าแชมป์โลก ONE รุ่นไลต์เวต คนแรกของรายการ ด้วยการเอาชนะทีเคโอ. “โซโรบาเบล โมเรยรา จูเนียร์” ในช่วงต้นของยกที่ 3
“ค่ำคืนนั้นมันยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต”
“มันเป็นความรู้สึกดีสุดๆ เมื่อคุณได้รับการชูมือ และกรรมการพูดขึ้นว่า ผู้ชนะ คุณจะติดอยู่กับช่วงเวลานั้นและพยายามมองหาความรู้สึกเช่นนั้นอยู่เสมอ มันทำให้คุณทะเยอะทะยาน”
“และมันคอยย้ำเตือนว่าทำไมผมถึงตัดสินใจที่จะต่อสู้”
ทว่าปีต่อมา โบกุต้องสูญเสียเข็มขัดแชมป์ให้กับอีกหนึ่งนักสู้แถวหน้าอย่าง “Tobikan Judan” ชินยะ อาโอกิ แต่นั่นถือเป็นแรงกระตุ้นที่จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จมากขึ้น
เขาตระหนักดีว่าอาจไม่ได้อยู่ในรุ่นที่เหมาะสม จึงตัดสินใจย้ายไปรุ่นเฟเธอร์เวต ก่อนที่เขาจะพบกับความสำเร็จที่น่าจดจำและยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างเข้มแข็ง
เป้าหมายล่าสุดใน ONE
โบกุยังคงใช้ชีวิตอยู่ในวิถีแบบเดิม เขาอยู่ในโรงยิมทุกวันเพื่อต้องการที่จะบรรลุความฝันที่จะก้าวไปคว้าแชมป์โลกทั้งสองรุ่น ก่อนที่ตัวเขาจะรีไทร์จากวงการ
“ผมต้องการก้าวไปเป็นแชมป์โลกของ ONE อีกครั้ง แต่อันดับแรกผมต้องเป็นผู้ท้าชิงลำดับต้นๆ เสียก่อน”
“ผมอยากจะต่อสู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ การพ่ายแพ้และประกาศรีไทร์ กับการก้าวไปเป็นแชมป์โลกและหลังจากนั้นจึงประกาศรีไทร์ มันค่อนข้างแตกต่างกัน ถ้าหากร่างกายและจิตใจของผมยังไหว ผมก็อยากที่จะลุยมันต่อไป ผมยังคงหมกมุ่นอยู่กับศิลปะการต่อสู้ และผมยังรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมัน”
ถ้าหากเขาสามารถเอาชนะ ธานฮ์ เล ได้สำเร็จ เขาก็จะก้าวไปสู้เป้าหมายของตัวเองได้เร็วยิ่งขึ้น แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น เขาก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่
“ถ้าหากเป็นฝ่ายชนะ คุณก็สามารถลุยต่อได้ แต่ไม่มีใครพร้อมจะลุยต่อทั้งๆ ที่ผิดหวัง ดังนั้นความรู้สึกที่ต้องการชัยชนะจะทำให้แข็งแกร่งอยู่เสมอ”
“ถึงอย่างนั้น ผมไม่อยากที่จะชนะในรูปแบบที่น่าเบื่อ ผมต้องทำให้มันสนุก ผมอยากจะอยู่บนจุดสูงสุดและสร้างความบันเทิงให้แฟนๆ ผมต้องการเป็นนักสู้ที่ไม่มีคู่แข่งคนไหนอยากปะทะด้วย”
“ผมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคน ผมจะไม่มีวันปฏิเสธ หากเขาแข็งแกร่งก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี”
กรุงเทพฯ | 16 สิงหาคม | 17:30 น. | ONE: DREAMS OF GOLD | TV: ตรวจสอบวัน-เวลาออกอากาศจากสถานีโทรทัศน์ในประเทศ | บัตรเข้าชม: http://bit.ly/onegold19