“เปี๊ยก พงษ์ศิริ” ตกเป็นเป้า “ไซเบอร์บูลลี” วิจารณ์แรงหยาบคาย จนเจ้าตัวขอเมิน
“นักฆ่าหน้าเปื้อนยิ้ม” พงษ์ศิริ มิตรสาธิต หนุ่มดอยเชื้อสายกะเหรี่ยง อดีตแชมป์มวยไทยภาคเหนือที่ผันตัวมาเอาดีด้านศิลปะการต่อสู้ผสมผสาน (MMA) ตกเป็นเหยื่อ “ไซเบอร์บูลลี” ที่มาในรูปแบบของถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงและหยาบคาย อันส่งผลกระทบทางด้านจิตใจ แต่เจ้าตัวก็พยายามข่มใจและเปลี่ยนคำดูถูกดูแคลนเหล่านั้นเป็นพลังบวกขับเคลื่อนตัวเองให้ดีขึ้น
โซเชียลมีเดีย เป็นเหมือนเหรียญสองด้าน มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ ยามที่ “เจ้าเปี๊ยก” พงษ์ศิริ ได้รับชัยชนะ ก็มีคำยินดีชื่นชม เป็นกำลังให้เขามหาศาล ในทางกลับกันหากเขาพบกับความพ่ายแพ้ ก็ตกเป็นเป้าหมายของการไซเบอร์บูลลี
“เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วนะ ผมอยู่กับกระแสในแง่ลบเหล่านี้จนชินแล้วครับ ผมอาจจะโพสต์ตัดพ้อในโซเชียลมีเดียบ้าง แต่ผมไม่ได้โกรธอะไร ผมมองเป็นเรื่องตลกขบขันและสีสันนอกสังเวียนมากกว่า แต่คนรอบข้างผมนี่แหละที่คอยเป็นเดือดเป็นร้อนแทน อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมได้เห็นกำลังใจอีกมากมายที่มีความปรารถนาดีต่อตัวผมจริงๆ”
แพ้ชนะเป็นเรื่องของเกมกีฬา นักกีฬาเองไม่มีใครอยากแพ้ แต่การแข่งขันมันมีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งเรื่องของการเตรียมตัว การฝึกซ้อม และประสบการณ์ ที่สำคัญความพ่ายแพ้นำมาซึ่งบทเรียน ทำให้นักกีฬารู้จุดบกพร่องของตัวเองที่ต้องแก้ไข
“พวกเขาไม่ได้เห็นหรอกครับว่าในแต่ละวันผมต้องฝึกซ้อมยังไงบ้าง พวกเขาไม่ใช่คนที่ต้องขึ้นไปต่อสู้บนสังเวียน และคงไม่รู้ว่ากว่าจะมาเป็นนักกีฬาบนเวทีแห่งนี้ ไม่ใช่ว่าใครจะเป็นก็ได้”
“ผมยอมรับว่ายังต้องพัฒนาฝีมือในกีฬา MMA ขึ้นไปอีก ซึ่งนี่ต่างหากคือสิ่งที่ผมต้องโฟกัส มากกว่ากระแสวิจารณ์ที่บั่นทอนกำลังใจ ผมต้องขอขอบคุณแฟนๆ อีกมากมายที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้ผมตลอดด้วยนะครับ”
สำหรับกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) นั้น ในประเทศไทยยังรู้จักกันอย่างไม่กว้างขวางมากนัก อีกทั้งยังมีข้อจำกัดในเรื่องของสถานที่ฝึกสอน ครูผู้สอน และคู่ซ้อม ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาศักยภาพของนักกีฬา และทำให้บ้านเรามีนักกีฬาการต่อสู้ประเภทนี้แทบนับตัวได้
อย่างไรก็ตาม การไซเบอร์บูลลี ถือเป็นภัยระรานที่พวกเราควรต้องช่วยกันสอดส่องและรณรงค์ให้หมดไป เพราะการกระทำเช่นนี้มันก็คือการพยายามฆ่าคนด้วยวาจา และไม่ควรต้องมีใครต้องตกเป็น “เหยื่อ” ของการกระทำแบบนี้อีก
อ่านเพิ่มเติม: