“เดชดำรงค์” รับสภาพ ฝืนสังขารไม่ไหวแม้ใจสู้ ประกาศแขวนนวมหลังพ่ายน็อก
อดีตแชมป์โลกระดับตำนาน “เดชดำรงค์” ยอมรับแพ้สภาพร่างกายตนเอง แม้หัวใจจะบอกให้สู้ แต่ฝืนสังขารไม่ไหว ตัดสินใจประกาศแขวนนวมยุติบทบาทนักสู้ในวัย 43 ปี
ในศึก ONE: BAD BLOOD เมื่อวันศุกร์ที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา “เดชดำรงค์ ส.อำนวยศิริโชค” ลงสังเวียนการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) รุ่นสตรอว์เวต กับนักสู้หนุ่มลูกครึ่งไทย-ออสซี “มินิที” แดเนียล วิลเลียมส์ ที่อายุอ่อนกว่าถึง 16 ปี ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะมีโอกาสขึ้นท้าชิงแชมป์โลกอีกเป็นครั้งเป็นไฟต์สุดท้ายก่อนอำลาสังเวียนอย่างเป็นทางการ
แต่ความตั้งใจนั้นก็ไม่อาจเป็นจริง หลัง เดชดำรงค์ โชว์ความเก๋าแลกอาวุธอย่างดุเดือดกับนักสู้หนุ่มไว้ลายอดีตแชมป์โลก ก็พลาดโดนหมัดกระแทกตับทรุดลงกองกับพื้นจนกรรมการต้องยุติการแข่งขัน เขาจึงตัดสินใจออกมาประกาศแขวนนวมทันทีหลังจบศึก โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถฝืนสภาพร่างกายได้อีกต่อไปและขอยุติเส้นทางนักสู้ไว้แค่นี้
“เห็นได้ชัดว่าที่ผมแพ้คือสภาพร่างกายครับ เรื่องฝีมือทั้งเกมยืนเกมนอน ผมไม่กลัวอยู่แล้ว แต่ในวัยนี้ ระบบการฟื้นตัวจะช้า ต่างจากเมื่อก่อน ถ้าสมัยผมหนุ่ม ๆ ถ้าโดนลูกนี้ไม่มีสะทกท้านอยู่แล้ว ผมก็เลยมานั่งคิดว่า เราคงฝืนร่างกายไปไม่ไหวแล้ว ก็เลยประกาศแขวนนวมเลยครับ”
“อีกอย่าง ไฟต์ที่ผ่านมา ถือว่า แดเนียล เขาวางแผนมาดี ผมคิดว่ายกแรกเขาจะรอดูก่อน แต่มาถึงเขาก็อัดเราเลยกะว่าจะทำให้เราหมดแรง จังหวะที่พลาดก็คือ ผมเตะซ้าย แล้วยังไม่ทันตั้งตัว ก็โดนหมัดที่ด้านลำตัวด้านขวา ตอนนั้นหายใจไม่ออกเลย และก็อย่างที่เห็นครับ”
เดชดำรงค์ ถือเป็นนักสู้ระดับตำนานที่มีประสบการณ์ข้นคลั่กทั้งในระดับประเทศและเวทีระดับโลก เขาคืออดีตแชมป์มวยไทยเวทีลุมพินี 3 รุ่น พร้อมประสบการณ์การชกกว่า 350 ไฟต์ ที่สำคัญ เขาคือผู้สร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นคนไทยคนแรกและคนเดียวที่ขึ้นนั่งแท่นแชมป์โลก ONE ในกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสาน ซึ่งยังไม่มีใครลบหน้าประวัติศาสตร์นี้ได้จนถึงปัจจุบัน
นับตั้งแต่ก้าวสู่เส้นทางนักสู้อาชีพตั้งแต่เขาอายุได้ 12 ปี จนถึงวันนี้ เดชดำรงค์ ได้โลดแล่นอยู่บนสังเวียนการต่อสู้เป็นเวลากว่า 30 ปี และได้สร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ซึ่งน้อยคนนักจะทำได้ ซึ่งเขาถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิต
“ผมรู้สึกภาคภูมิใจในอาชีพนักสู้ กว่าจะผมจะมาถึงวันนี้ ผมสู้มาตลอดจนได้เป็นทั้งแชมป์มวยไทยและแชมป์ MMA แต่สิ่งที่ผมภาคภูมิใจมากที่สุดคือการทำให้คนไทยได้รู้จัก MMA มากขึ้นและเปิดใจยอมรับว่ากีฬา MMA ไม่ได้จะเข้ามาทำลายมวยไทย แต่เป็นกีฬาที่ส่งเสริมให้นักมวยไทยได้มีโอกาสหรือทางเลือกในอาชีพเข้ามาอีกทางหนึ่ง”
“อาชีพนักมวยให้อะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตผม อย่างแรกคือได้การฝึกฝนตัวเองให้มีระเบียบวินัย และทำให้ผมมีชีวิตที่ดี ได้ดูแลพ่อแแม่และครอบครัวมาถึงทุกวันนี้ครับ”
แม้เส้นทางนักสู้จะจบลง แต่ เดชดำรงค์ จะยังคงทำหน้าที่เป็นครูมวยที่ยิมอีโวลฟ์ ในประเทศสิงคโปร์ต่อไป โดยยังมีอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญที่เขามุ่งมั่นจะทำต่อไปตราบลมหายใจยังมี
“ผมตั้งใจจะทำหน้าที่เผยแพร่ศิลปะมวยไทยให้ลูกศิษย์ต่อไป ให้เขาเรียนรู้ให้ถึงแก่นแท้ของมวยไทยที่ไม่ได้มีแค่อาวุธหมัดเท้าเข่าศอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไปถึงระเบียบวินัย ความเคารพต่อครูบาอาจารย์ และจิตวิญญาณของนักมวยไทยด้วยครับ”
“อีกอย่างที่ผมตั้งใจจะทำคือเปิดค่ายมวยที่บ้านเกิด จ.ตรัง ให้เด็ก ๆ มาเรียนมวยไทย ผมอยากถ่ายทอดวิชามวยไทยให้ลูกหลานรุ่นหลัง ที่สำคัญ ผมก็กำลังปั้นลูกชายให้มาในสายนักสู้ครับ ตอนนี้เขาก็ชกไปแล้ว 7 ไฟต์ เดี๋ยวผมจะให้ลูกชายเป็นตัวแทนสานฝันการเป็นแชมป์ของผม ผมให้ลูกชายมาแก้แค้นแทนครับ (หัวเราะ)”
“ผมอยากฝากไปถึงนักมวยรุ่นน้อง ๆ ว่าถ้าอยากเป็นนักสู้ที่เก่ง ก็ต้องมีวินัย ขยันฝึกซ้อม และตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาสายไหน ขอให้มีเป้าหมายและตั้งใจ ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึงครับ”
เชื่อว่าตำนานของนักสู้ตัวจริงทั้งในและนอกสังเวียนอย่าง เดชดำรงค์ จะไม่ใช่ตำนานที่เป็นเพียงความทรงจำแต่จะยังเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งแก่คนรุ่นหลังต่อไปตราบนานเท่านาน
อ่านเพิ่มเติม:
- สูงสุดสู่สามัญ! เส้นทางสังเวียน “เดชดำรงค์” อดีตแชมป์โลกชาวไทยในกีฬา MMA
- “เดชดำรงค์” ยึดปากท้องครอบครัว เป็นแรงผลักดันชีวิตนักสู้บนสังเวียน
- ชีวิตที่เปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือของ “เดชดำรงค์” กับ 8 ปีที่ยิมอีโวลฟ์ สิงคโปร์