“เมืองไทย” ยังไม่แขวนนวม แค่ขอลาพักผ่อนจิตใจ พร้อมเมื่อไหร่ใจบอกเอง
“เมืองไทย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม” เจ้าของศอกอำมหิตที่ปลิดคู่แข่งบนสังเวียนมานักต่อนัก เขานำดีกรีแชมป์สนามมวยเวทีลุมพินีเป็นใบเบิกทางสู่สังเวียนระดับโลก วัน แชมเปียนชิพ เก็บชัยชนะได้ 3 ครั้ง นับตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายนเป็นต้นมา จนถึงเวลานี้ก็ล่วงเลยมา 2 ปีพอดิบพอดี
หลังจากที่มีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่า นับตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย การแข่งขันชกมวยกลับมาจัดได้เกือบจะปกติ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของ เมืองไทย ขึ้นสังเวียนสักที ล่าสุด เมืองไทย จึงได้โพสต์เปิดใจผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัว เคลียร์คำถามนี้อย่างชัดเจนว่า
“สำหรับแฟนมวยที่ยังถามกันนะครับ ตอนนี้ทำร่างกายซักพัก ถ้าผมคิดว่ายังอยากสู้อีกอาจได้ชมอีกครั้งครับ ถ้ายังมีโอกาส”
โพสต์ดังกล่าวทำให้แฟนๆ ต่างเข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจกันอย่างลนหลาม ทั้งยังสอบถามถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจพักชั่วคราว
“เหตุผลหลักๆ คือตอนนี้ร่างกายบอบช้ำเกินไปแล้วครับ ทั้งข้ามไปชกเวตใหญ่ โดนเยอะ โดนหนัก ร่างกายแย่ลงไปเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็จะโดนเข้าที่บริเวณใบหน้าครับ มีทั้งแตก ถึงฟันหักก็มีครับ”
ย้อนกลับไปสมัยเด็ก เมืองไทย โดนพ่อจับฝึกมวยมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ถึงวันนี้ 19 ปีผ่านไป เขาผ่านประสบการณ์ผืนผ้าใบมาอย่างโชกโชน 200 กว่าไฟต์ และด้วยสไตล์การชกที่ดุดันได้ใจแฟนมวย จึงไม่น่าแปลกใจหากร่างกายของเขาจะมาถึงจุดที่ต้องการจะพัก
“ทางด้าน เสี่ยแขก (สมชาย เทศรุ่งเรือง หัวหน้าค่ายต้นสังกัด) ก็เข้าใจครับ เขาบอกว่าถ้าพร้อมอีกทีเมื่อไหร่ก็กลับมาได้เลย ส่วนพ่อกับพี่ชาย ด้วยความที่พวกเขาเคยเป็นนักมวยมาก่อน ทั้งสองคนจะเข้าใจความรู้สึกผมเป็นอย่างดี กับภรรยาและลูก พวกเขาก็แล้วแต่ผมอยู่แล้วครับ”
แม้ เมืองไทย จะหายหน้าจากเวทีมวย แต่เขาก็ยังมีอาชีพรองรับ ทั้ง กิจการขายผัก ที่ช่วยกันกับภรรยา, กิจการขายล้อแม็กซ์ และเจ้าของอู่รถ แถมล่าสุดยังฟื้นฟูค่ายมวยเก่าของพ่อ “ศิษย์ศรพิชัย” เพื่อสานต่อวิชาชีพนี้อีกด้วย
“การที่ผมมีกิจการเสริมมากมาย ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมพักนวมเลยครับ ทุกอย่างที่นอกเหนือจากการชกมวยถือเป็นงานอดิเรกทั้งหมด ขายผักผมก็แค่ไปช่วยภรรยา ทำค่ายมวยก็แค่ไปช่วยพ่อกับพี่ชาย ส่วนอู่รถกับขายล้อแม็กซ์ ผมก็ยังไม่คิดถึงขั้นลงทุนจริงจังในตอนนี้ เศรษฐกิจบ้านเมืองยังไม่ค่อยจะดี ก็คงต้องดูกันไปยาวๆ ครับ”
“ผมยังบอกไม่ได้ครับว่าจะต้องหยุดพักการชกมวยไปนานแค่ไหน ผมไปตรวจร่างกายยังปกติดี แต่มันเป็นเรื่องของจิตใจ และความรู้สึกของผมเองครับ ผมรู้แค่ว่าพร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นครับ”
ไม่ว่าเขาจะเลือกทางเดินไหน ชื่อของ “เมืองไทย” และฉายา “ขุนศอกผีดิบ” จะถูกจดจำต่อไปอีกนานหลายยุคหลายสมัย ด้วยความที่เป็นนักมวยซึ่งไม่เอาเปรียบคนดู วางตัวดีมีสัมมาคารวะ รักครอบครัว และเป็นที่รักของแฟนๆ ไปทั่ววงการ
“ผมขอขอบคุณแฟนมวยทุกคนที่ให้กำลังใจ และเป็นห่วงเป็นใยผมด้วยนะครับ ถ้าร่างกายผมกลับมาฟิตกว่านี้ พร้อมกลับมาเมื่อไหร่ ผมสัญญาว่าจะอัปเดตให้ทุกคนทราบผ่านทางเฟซบุ๊กของผมแน่นอนครับ”
อ่านเพิ่มเติม: