กะเทาะเปลือก “เพชรจีจ้า” ราชินีคิกบ็อกซิ่ง เฉพาะกาล แชมป์โลกคนไทยรายล่าสุด
เจาะลึกชีวิต “เพชรจีจ้า” สาวแกร่งใจเกินร้อย ทุกแง่มุมกับเรื่องราวการเดินทางตามความฝัน จนเข้ามาประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่ง เฉพาะกาล ใน ONE
โด่งดังไปทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ “เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม” นักชกสาวแกร่งวัย 22 ปี จากชลบุรี หลังสร้างชื่อกลายเป็นนักชกหญิงคนแรกจากเวที ONE ลุมพินี ที่ได้รับการประทับตราการันตีฝีมือจากบิ๊กบอส “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” ว่าคือของจริง ได้เซ็นสัญญามูลค่า 3.5 ล้านบาท ไปลุยศึกใหญ่ วัน แชมเปียนชิพ เจ้าตัวก็ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ไฟต์ในการขึ้นคว้าแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต เฉพาะกาล มาครองได้สำเร็จ จากการเอาชนะ “อนิสสา เม็กเซน” ในศึก ONE ลุมพินี 46 เมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา
เจ้าของฉายา “เดอะ ควีน” ใช้เวลาในศึก ONE ลุมพินี และศึก ONE รายการใหญ่เพียงแค่ห้าไฟต์เท่านั้นในการพิสูจน์ตัวเองว่าคือยอดนักสู้หญิงชาวไทย ระดับแถวหน้าของโลก และรอวันท้าชิงบัลลังก์ตัวจริงจาก “เจเน็ต ท็อดด์” แชมป์โลกคิกบ็อกซิ่ง คนปัจจุบันต่อไป
เพื่อให้ทุกคนได้รู้จัก “เพชรจีจ้า” กันแบบเจาะลุกทุกแง่มุมตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็ก จนถึงปัจจุบันที่เป็นดาวดังระดับโลก เราขออาสาพาไปรู้จักชีวิตที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจของเธอ
#หลงกลิ่นน้ำมันมวยตั้งแต่ 6 ขวบ
“เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม” หรือชื่อจริง นิลดา มีคุณ ชื่อเล่น “นิล” เกิดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2544 ที่จังหวัดชลบุรี มีพี่น้อง 2 คน มีพี่ชาย 1 คน อายุแก่กว่า 2 ปี ซึ่งชกมวยอาชีพเช่นกันโดยมีชื่อในวงการมวยว่า “วันวิน ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม”
เด็กหญิง “นิล” เติบโตมาในค่ายมวย อ.มีคุณ ของคุณพ่อ ซึ่งแวดล้อมไปด้วยเด็กผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ และด้วยความที่เธอสนิทสนมกับพี่ชายมาก บุคลิกส่วนตัวจึงออกจะห้าวคล้ายเด็กผู้ชาย ชอบแต่งตัวและทำตามแบบพี่ชาย ซึ่งรวมถึงความชอบในศาสตร์มวยไทยด้วย
ด้วยความชื่นชอบมวยไทย “น้องนิล” มักติดสอยห้อยตามคนในบ้านไปดูน้าชายของเธอขึ้นสังเวียนตามงานวัดในละแวกบ้าน นั่นยิ่งทำให้ “น้องนิล” รู้สึกหลงเสน่ห์ของการชกมวยทั้งบรรยากาศในสนามและกลิ่นน้ำมันมวยและสาบนวมที่คละคลุ้งไปทั่ว โดยเธอตั้งใจแน่วแน่ที่จะขึ้นไปสู้บนสังเวียนตามแบบน้าชายบ้าง และเริ่มฝึกมวยอย่างจริงจังตั้งแต่ 6 ขวบ โดยมีคุณพ่อเป็นครูมวยคนแรก
#แกร่งเกินหญิงข้ามชกนักมวยชาย
หลังจากฝึกมวยได้ไม่นาน “น้องนิล” ได้ขึ้นสังเวียนครั้งแรกโดยใช่ชื่อ “เพชรสีนิล” โดยไปเปรียบมวยในงานวัด แต่ปรากฏว่าไม่มีมวยหญิงในรุ่นน้ำหนักเดียวกัน เหลือเพียงนักมวยเด็กชายเหลืออยู่คนเดียว ในตอนแรก คุณแม่และน้าชายของเธอเป็นฝ่ายห้ามไม่ให้ขึ้นชก แต่ “น้องนิล” ยืนกรานที่จะสู้แม้เป็นมวยชายก็ตาม
จากนั้นชื่อของเธอกลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในฐานะมวยเด็กผู้หญิงที่เอาชนะคู่ต่อสู้ที่เป็นเด็กผู้ชายได้ และเมื่ออายุ 10 ขวบ เธอได้ขึ้นชกมากกว่า 100 ไฟต์ โดยมากกว่า 70 ไฟต์ เป็นการเจอกับเพศตรงข้าม เนื่องจากหาคู่ชกหญิงในรุ่นน้ำหนักเดียวกันและฝีมือใกล้เคียงกันได้ยาก
ต่อมาเมื่อได้มีโอกาสเข้ามาชกในเมืองกรุง ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “เพชรชีต้า” แต่ด้วยฝีมืออันโดดเด่นทำให้เวียนมวยขนานนามเธอว่า “เพชรจีจ้า” ตามชื่อนักแสดงหญิงยอดนักบู๊ชื่อดัง “จีจ้า ญาณิน” เธอจึงไม่ขัดข้องที่จะเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้จนถึงปัจจุบัน
#มวยสากลสมัครเล่นดีกรีทีมชาติ
ในปี 2556 ขณะที่อายุ 12 ปี ได้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญขึ้น เมื่อการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) มองว่าการชกแบบข้ามเพศถือว่าไม่เหมาะสมและผิดกฎหมาย ยิ่งทำให้เธอหาคู่ชกยากขึ้นไปอีก ก่อนได้รับโอกาสจาก “สมชาย พูลสวัสดิ์” อุปนายกสมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ณ ขณะนั้น ได้ชักชวนให้ไปฝึกฝนมวยสากลสมัครเล่นซึ่งเหมือนเป็นการเปิดโลกใหม่อีกใบ
ในตอนแรก “เพชรจีจ้า” ตอบรับโอกาสมาชกมวยสากลสมัครเล่นเพราะคิดว่าอยากลองดูเท่านั้น อีกทั้งพอได้ขึ้นไปบนเวทีจริงก็ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ เพราะทักษะพื้นฐานด้านนี้ยังมีไม่ค่อยมาก ทำให้ต้องขยันเรียนรู้จากรุ่นพี่ให้ไว แต่สุดท้ายด้วยทั้งพรสวรรค์และพรแสวงทำให้เธอใช้เวลาปรับตัวไม่นานนัก โดยเดินหน้ากวาดรางวัลสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติมาไม่น้อย
เริ่มจากในปี 2561 คว้าเหรียญเงินมาครองได้ทั้งในรายการชิงแชมป์เยาวชนเอเชียและชิงแชมป์เยาวชนโลก ในรุ่น 48 กก. จากนั้นในปีถัดมา ยังมีตระเวนไปแข่งในทัวร์นาเมนต์ทั้งที่สวีเดนและบัลแกเรีย ได้เหรียญทองในรุ่น 48 กก. มาครองสามรายการติดต่อกัน
#มวยไทยที่คิดถึง
อย่างไรก็ตาม “เพชรจีจ้า” ก็ทนคิดถึงมวยไทยไม่ไหวเพราะเจ้าตัวผูกพันกับกีฬานี้อย่างลึกซึ้ง และความทรงจำเกี่ยวกับมวยไทยยังคงแจ่มชัดและทำให้เธอมีความสุขได้เสมอ โดยเธอจำได้ว่าคณพ่อซื้อแผ่นซีดีไฮไลต์มวยไทยมาให้ดูเป็นประจำ และศึกษาการชกจากนักมวยไอดอลในดวงใจ “สามารถ พยัคฆ์อรุณ” อดีตนักมวยไทยชื่อดัง เรียกได้ว่าตลอดชีวิตของเธอตัดไม่ขาดจาก “ศาสตร์แห่งอาวุธทั้งแปด”
กระทั่งช่วงปลายปี 2563 “เพชรจีจ้า” ได้หวนกลับมาชกมวยไทยในรอบ 4 ปีในรายการมวยชิงถ้วยพระราชทานชื่อดัง บรรยากาศที่คุ้นเคยทำให้เลือดนักมวยไทยสูบฉีดขึ้นมาอีกครั้ง โดยเธอโชว์ผลงานดุดันชนะไปทั้งสิ้น 7 ไฟต์ติดต่อกัน และได้รับรางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี รุ่น 51 กก. มาครองสำเร็จ
#ONE ลุมพินี เวทีในฝัน
ด้วยเสียงในหัวใจที่ร่ำร้องอยากกลับคืนสู่มวยไทยประกอบกับเสียงเรียกร้องหนาหูของแฟนหมัดมวยชาวไทยที่อยากเห็นฝีมือของ “เพชรจีจ้า” ในปี 2564 เธอจึงตัดสินใจทำหน้าที่นักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไปแข่งในกีฬาซีเกมส์ที่เวียดนาม เป็นทัวร์นาเมนต์สุดท้าย โดยสามารถคว้าได้เหรียญทองแดงกลับมา ฝากความทรงจำในการรับใช้ชาติได้แบบน่าประทับใจ
จากนั้น “เพชรจีจ้า” ก็หันกลับมาทุ่มเทให้การฝึกมวยไทยอย่างเต็มที่อีกครั้ง เมื่อได้ยินข่าวการมาถึงของศึก ONE ลุมพินี ของ วัน แชมเปียนชิพ ซึ่งเธอเองก็วาดฝันว่าจะได้โอกาสเข้ามาชกสักครั้งในชีวิต และในที่สุด “เพชรจีจ้า” ก็ได้โอกาสแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวด้วยผลงานยอดเยี่ยมชนะรวดสองไฟต์จนกระทั่งคว้าสัญญา ONE มาได้ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งในชีวิต
“ปกติเวลาขึ้นชกหนูตื่นเต้นเป็นประจำ ยิ่งได้มาชกในศึก ONE ลุมพินี ยิ่งตื่นเต้นเพราะเป็นเวทีใหญ่ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ชกในรายการนี้ แต่ตอนนี้ทางรายการสนับสนุนผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น ในใจนึกตลอดว่าอยากทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด อยากให้แฟนมวยชื่นชมและประทับใจค่ะ”
#เป้าหมายคือแชมป์โลก ONE
ความสำเร็จถาโถมเข้ามาเร็วทำให้ “เพชรจีจ้า” แทบไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ก็พร้อมพัฒนาฝีมือของตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อคู่ควรกับการได้สิทธิ์นี้และตั้งใจทำเต็มที่เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่านักสู้จากไทยมีดีไม่แพ้ใคร พร้อมวางเป้าใหญ่หยิบเข็มขัดแชมป์โลก ONE มาครองให้ได้
“ตอนทราบเรื่องนี้บนเวทีมันอึ้งไปหมด หนูไม่รู้มาก่อนว่าจะได้เซ็นสัญญาเข้า วัน แชมเปียนชิพ ไม่คาดคิดว่าโอกาสจะมาถึงเร็วขนาดนี้เพราะเพิ่งชกได้แค่สองไฟต์ รู้สึกดีใจที่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรายการระดับโลกซึ่งจะเปิดโอกาสให้ได้เข้าไปโชว์ศิลปะแม่ไม้มวยไทย พร้อมแสดงให้เห็นว่านักมวยหญิงจากไทยสู้ได้ดีไม่แพ้ชาติใดในโลก หนูอยากครองแชมป์มวยไทย ในรุ่น 115 ป. อยากเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นนี้ให้ได้ค่ะ”
#ฝันเป็นจริง คว้าแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่ง
“เพชรจีจ้า” เปิดตัวในฐานะนักกีฬา ONE อย่างสวยงาม ด้วยการปราบคู่ชกระดับพระกาฬอย่าง “ลารา เฟอร์นานเดซ” และ “เซเลสต์ ฮันเซน” แบบไม่ครบยก 2 ไฟต์ติด ด้วยผลงานอันโดดเด่น ทำให้เธอได้รับโอกาสครั้งสำคัญ ให้กระโดดข้ามสาย ไปท้าชน “อนิสสา เม็กเซน” นักสู้สาวแกร่งเยี่ยงชาย จากฝรั่งเศส โดยมีตำแหน่งแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต (105 – 115 ป.) เป็นเดิมพัน ในศึก ONE ลุมพินี 46 ที่จัดขึ้นช่วงปลายปี 66 ที่ผ่านมา
แม้จะเป็นการชกในกติกาคิกบ็อกซิ่ง ครั้งแรกในชีวิต แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ “เพชรจีจ้า” ที่เคยผ่านประสบการณ์มวยสากลกับทีมชาติไทยมาก่อน โดยเธอสามารถทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม เดินแจกอาวุธ ไล่อัด “อนิสสา” ที่ถูกยกย่องให้เป็นนักชกคิกบ็อกซิ่ง อันดับหนึ่งของโลก เมื่อเทียบปอนด์ต่อปอนด์ ได้อย่างน่าดูชมตลอดทั้ง 5 ยก จนเป็นฝ่ายคว้าชัยไปด้วยคะแนนเอกฉันท์ คว้าเข็มขัดแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต เฉพาะกาล มาครองอย่างยิ่งใหญ่
#เป้าหมายต่อไป ราชินีสองบัลลังก์
โดยเป้าหมายต่อไปในปี 2567 ของ “เพชรจีจ้า” คือการไล่ล่าบัลลังก์คิกบ็อกซิ่ง จาก “เจเน็ต ทอดด์” เจ้าของตำแหน่งชาวอเมริกัน คนปัจจุบัน เพื่อรวมตึงเข็มขัดไว้แต่เพียงผู้เดียว รวมไปถึงการขึ้นท้าชิงกับ “อัลลิเซีย เฮลเลน รอดริเกส” เจ้าของเข็มขัดแชมป์โลก ONE มวยไทย ชาวบราซิล ผู้ไม่เคยแพ้ใครในรุ่นอะตอมเวต เพื่อสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นราชินีสองบัลลังก์ ให้ได้
“สำหรับหนู ไม่ว่าจะชิงแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่ง หรือว่ามวยไทย ได้หมดเลยค่ะ แต่มวยไทยอาจจะเป็นกติกาที่หนูถนัดกว่าเพราะ มีศอก มีแทงเข่า มีจับวงใน ส่วนคิกบ็อกซิ่งอาจจะต้องกลับไปฝึกซ้อมและพัฒนาฝีมือให้มากขึ้น เรียนรู้กติกาให้มากขึ้น เพราะว่าหนูอาจจะยังมีข้อบกพร่องอีกเยอะ ก็ต้องกลับไปแก้ไขในเรื่องนี้ แต่ถ้ามีโอกาสหนูก็พร้อมที่ชิงทั้งกติกาคิกบ็อกซิ่งและมวยไทยค่ะ”
ติดตามข่าวสารและความคืบหน้าได้ที่นี่และโซเชียลมีเดียของ ONE ทุกช่องทาง ได้แก่ เฟซบุ๊ก ONE Championship Thailand และอินสตาแกรม ONEChampTh