เก็บตก “รถถัง x ชนาธิป” จับเข่าคุยตามประสาคน “ตัวเล็กใจใหญ่” กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
เป็นโอกาสพิเศษสุด ๆ เมื่อสององค์กรกีฬาระดับโลก “วัน แชมเปียนชิพ” จับมือกับองค์กรลูกหนังดังอย่าง เจลีก นำสองซุปตาร์จากสององค์กร “รถถัง จิตรเมืองนนท์” เจ้าของเข็มขัดโลก ONE มวยไทย รุ่นฟลายเวต และ “เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์” นักฟุตบอลทีมชาติไทยและนักกีฬาสโมสรฮกไกโด คอนซาโดเล ซัปโปโระ ศึกเจลีก ประเทศญี่ปุ่น มานั่งสนทนาออนไลน์อย่างเป็นกันเองครั้งแรก เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตในฐานะนักกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ และชีวิตเบื้องหลังกว่าจะประสบความสำเร็จในทุกวันนี้
ในโลกกีฬาการต่อสู้ ณ นาทีนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ดิ ไอรอนแมน” รถถัง จิตรเมืองนนท์ ตัวแทนนักมวยไทยที่ได้ประกาศศักดาศิลปะการต่อสู้ประจำชาติสู่สายตาชาวโลกหลายต่อหลายครั้ง จนมีแฟนคลับจากทั่วโลกติดตามมากมาย ขณะเดียวกัน “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ นั้นเป็นนักเตะขวัญใจแฟนบอลชาวไทยทั้งประเทศที่มีความสามารถเหลือล้นจนได้รับโอกาสไปค้าแข้งในต่างแดนและแสดงให้เห็นว่านักฟุตบอลไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก
แต่กว่าจะประสบความสำเร็จเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงขจรขจายในต่างแดนอย่างทุกวันนี้ ทั้งคู่ต้องผ่านความยากลำบากมามากมาย ซึ่งต้องอาศัยความอดทนอดกลั้นและความเพียรพยามยามอย่างหนัก แต่เป็นเพราะความรักในกีฬา พวกเขาจึงสามารถก้าวข้ามทุกอุปสรรคมาได้
เจ-ชนาธิป
เจ: “พ่อผมจับผมฝึกเตะบอลตั้งแต่ 4 ขวบ โดยใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ขยำ ๆ ใช้แทนลูกบอล พ่อพยายามสอนทักษะเบสิกการเตะบอลทุกอย่างให้ผม ถ้าผมยังทำตรงไหนไม่ดี พ่อก็จะให้ฝึกซ้ำ ๆ จนกว่าจะได้ เมื่อก่อนสนามซ้อมก็ไม่มี ก็ใช้พื้นที่ข้างทาง หรือวิ่งบันไดสวนสาธารณะเอา ก็ผ่านอะไรมาเยอะสำหรับนักกีฬาอย่างเรากว่าจะประสบความสำเร็จ หลายคนมองอาจมองว่าเราเก่ง แต่นั่นเพราะเราผ่านการฝึกมาอย่างหนัก”
รถถัง: “ชีวิตผมค่อนข้างดรามาครับ (หัวเราะ) ผมไม่มีพ่อแม่แนะนำแบบพี่เจ เพราะที่บ้านยากจนพ่อแม่ก็จะปล่อยลูก ๆ เพราะต้องออกไปทำงาน ผมเห็นเขาซ้อมมวย ผมก็อยากจะต่อยมวยบ้างเลยแอบพ่อแม่ไปขอเขาซ้อม แรก ๆ ก็ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครมาเป็นคู่ซ้อมให้ ผมก็ต้องซ้อมกับกระสอบทราย เตะเสา อยู่ประมาณปีนึงจนเขาเห็นความตั้งใจว่าเราอยากต่อยมวยจริง ๆ จากนั้นก็เลยไปขอพ่อว่าจะมาต่อยมวยนะ และได้ขึ้นชกครั้งแรกแทนเพื่อนที่เขาไม่สบาย แล้วก็ชนะได้เงินมารางวัล 300 บาท ผมดีใจมาก “
รถถัง
นอกจากนี้ทั้งคู่ยังเห็นพ้องต้องกันด้วยว่า “กีฬา” คือ “ยาวิเศษ” ที่ทำให้พวกเขาสามารถผ่านจุดพลิกผันของชีวิตและช่วยให้เขาพัฒนาทั้งทางร่างกายและจิตใจไปพร้อมกัน
รถถัง: “สำหรับผม กีฬามวยให้ชีวิต ให้อะไรหลายอย่างกับผม ให้ทั้งงาน เงิน และทำให้ผมมีชีวิตที่ดีขึ้น สามารถดูแลครอบครัวได้ จากที่เคยเกเร ผมก็เปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้น ทั้งมีระเบียบวินัย มีมารยาท ถ้าไม่ได้มาเป็นนักมวย ป่านนี้ผมอาจได้เป็นด็อกเตอร์ (หัวเราะ) เดินเส้นทางผิดเป็นคนขายยาไปแล้วก็ได้ครับ”
เจ: “ใช่ครับ กีฬาสอนให้เรามีวินัย รู้แพ้ รู้ชนะ รู้จักการให้เกียรติซึ่งกันและกัน แถมยังได้เพื่อนได้สังคมใหม่ ๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดี ถ้าผมไม่ได้เป็นนักฟุตบอลในวันนี้ ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน คงเกาะพ่อแม่กินไปวัน ๆ แต่โชคดีที่เรารู้ว่ามีความสามารถด้านนี้และสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ ก็ถือว่าคุ้มค่า”
นี่แค่เก็บตกเรื่องราวเล็กน้อย สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูคลิปเต็มของการจับเข่าคุยกันครั้ง ติดตามดูได้ที่ด้านล่างเลยค่ะ
อ่านเพิ่มเติม: