จากใจ มิชา เทต: กับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสิงคโปร์
ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี และเป็นการเปิดโลกใหม่ให้กับฉัน
เรื่องหนึ่งที่ฉันชื่นชอบมากเกี่ยวกับประเทศนี้ก็คือ ความเป็นมิตรกับเด็ก และสังคมที่ให้ความสำคัญกับครอบครัว ที่นี่มีกิจกรรมให้เด็กๆ ทำมากมาย ความบันเทิงแบบไม่ต้องเสียเงิน และมีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ
จริงๆ มันเป็นเรื่องใหญ่กับการย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ใหม่ โดยเฉพาะเมื่อระยะทางห่างจากบ้านเกิดเกือบครึ่งโลก แต่การปรับตัวของฉัน รวมถึงสามี จอห์นนี นูเนซ และ อมาเอีย ลูกสาว ก็ค่อนข้างราบรื่นดี ฉันรู้สึกว่า “เมืองแห่งสิงโต” เปรียบเสมือนหม้อที่หลอมรวมวัฒนธรรมต่างๆ ไว้ด้วยกัน และฉันก็คุ้นเคยกับวัฒนธรรมที่หลากหลายตั้งแต่สมัยอยู่สหรัฐอเมริกาแล้ว
หลายปีก่อนจะย้ายมาที่นี่ ฉันเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าอาจจะได้เห็นฉันย้ายไปอยู่ที่สิงคโปร์ในอนาคต เรื่องดังกล่าวอยู่ในความคิดฉันมานาน แต่พอเป็นความจริงในปี 2019 มันก็ประหลาดอยู่เหมือนกัน
บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่พูดออกไปมันกลายเป็นจริงได้ และฉันตื่นเต้นมากที่ได้มาอยู่ที่นี่ตอนนี้ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ดูเหมือนไม่น่าจะเกิดขึ้น ยอมรับว่ามันแปลกดีที่ฝันกลายเป็นจริงได้เร็วขนาดนี้
การเดินทางมาสิงคโปร์ครั้งที่สองเพื่องานสัมมนาที่ Evolve MMA เมื่อปี 2016 และหลังจากนั้นฉันก็รักประเทศนี้มากกว่าที่เคย
เดือนกุมภาพันธ์ปีก่อน ฉันได้ชมการแข่งขัน วัน แชมเปียนชิพ แบบสดๆ ครั้งแรกในศึก ONE: CALL TO GREATNESS และมันทำฉันทึ่งไปเลย ด้านงานพยาบาลยอดเยี่ยมมาก อาหารเครื่องดื่มถูกเสิร์ฟถึงที่นั่งชั้นริงไซด์ รวมถึง บรรยากาศในสนามมันสุดยอดมาก เป็นความทรงจำที่ทำให้ฉันประทับใจสิงคโปร์มากขึ้นไปอีก
ระหว่างนั้น วัน แชมเปียนชิพ เป็นธุระช่วยฉันในการหาบ้านหลังใหม่ เราก็ไปหลายแห่งย่านใจกลางเมือง และพบกับคอนโดซึ่งถูกตกแต่งแล้วพอสมควร ถึงกระนั้นฉันก็ยังมโนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่ออยู่ที่นี่ไม่ออก
กระทั่งอีกไม่กี่เดือนต่อมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
เราจัดกระเป๋า นั่งเครื่องบินมาถึงสิงคโปร์ และทันใดนั้นย่านธุรกิจสำคัญของที่นี่ก็กลายเป็นบ้านของฉัน ฟังดูเหนือจริง แต่ก็อย่างที่บอกไปตอนต้น มันยิ่งกว่าความฝัน
จริงๆ แล้วฉันเป็นคนขี้อาย พอฉันย้ายมาอยู่ที่นี่แรกๆ ฉันจึงไม่ค่อยพูดกับใครมากนัก ถ้าฉันไปที่ยิม ฉันก็จะดิ่งไปที่นั่น โดยไม่พูดคุยกับใครที่ไม่รู้จัก แค่โฟกัสกับสิ่งที่ต้องทำ หากจะหาคำนิยามที่เหมาะสม จะเรียกว่าฉันเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว เมื่อต้องปรับตัวเข้าสังคมใหม่ก็ได้
ต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำความรู้จักเพื่อนบ้าน แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในวันที่ 3 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 1 ปีของอมาเอีย ลูกสาวฉันเอง
ที่สระว่ายน้ำของโครงการ มีพ่อแม่และลูกๆ หลายครอบครัวไปที่นั่น มีเด็กๆ มาเล่นกับอมาเอีย เราจึงเริ่มพูดคุยกัน แล้วฉันก็ถูกเชิญเข้ากลุ่ม WhatsApp กับบรรดาแม่ๆ ภายในคอนโดเดียวกัน
ทุกวันนี้ฉันเป็นเพื่อนกับทุกคน เรานัดเจอกันอยู่บ้างเพื่อใช้เวลาร่วมกัน และแลกเปลี่ยนของเล่นลูกๆ ต้องยอมรับว่าเด็กๆ สมัยนี้เบื่อของเล่นง่ายชะมัดเลย
นอกจากเรื่องนั้น มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันเดิมๆ ฉันซ้อมศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน ทำงาน ออกกำลังกายแบบคาดิโอ และใช้เวลากับครอบครัว
ปัญหาใหญ่ของฉันคือเรื่องการเดินทาง
ฉันยังจำวันแรกๆ หลังย้ายมาอยู่ที่นี่ ตอนนั้นฉันพยายามหาร้าน 7-Eleven ที่มี Wi-Fi ฟรีให้ใช้ ซึ่งกว่าจะหาเจอก็งมอยู่นานเหมือนกัน คนหนึ่งบอกให้ไปทางนี้ อีกคนบอกว่าไปทางนั้น แต่ปรากฎว่าอันที่จริงมันอยู่ชั้นใต้ดินนี่เอง
และนี่คือครั้งแรกในชีวิตที่ฉันไม่มีรถขับ
ตั้งแต่ฉันสอบใบขับขี่ผ่านตอนอายุ 16 ปี ฉันก็มีรถขับมาตลอด เพราะในสหรัฐอเมริกา รถยนต์คือวิธีที่พาคุณไปได้ทุกที่ เมื่อไม่มีรถก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ฉันชอบระบบขนส่งสาธารณะและ Grab ของที่นี่ รวมถึงยังสนุกกับการเดินไปยังสถานที่ต่างๆ อีกด้วย
สิงคโปร์เป็นประเทศที่ต่างจากที่ฉันเคยอยู่มา และฉันก็สนุกกับการไปไหนมาไหน
ในสหรัฐอเมริกา สถานที่แต่ละแห่งอยู่ไกลกันมาก ต่างจากสิงคโปร์ที่คุณจะรู้สึกว่ามันใหญ่ แต่จริงๆ มันอยู่ใกล้กันและเดินทางไปมาสะดวกมาก สถานที่ต่างๆ มันทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ส่วนสถาปัตยกรรมก็งดงาม มันสะกดใจฉันได้ทุกวันเลย
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ฉันต้องพูดถึงเรื่องหนึ่งที่ดีที่สุดของสิงคโปร์ คือก็อาหาร
อาหารที่นี่ดีมากๆ แต่ละจานทำฉันหยุดกินไม่ได้เลย (หัวเราะ) แต่ที่ชอบที่สุดก็คือ หลักซา (Laksa) ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส่กะทิ มีรสชาติเผ็ดๆ
ที่สุดแล้ว ถ้าจะให้นิยามชีวิตที่สิงคโปร์ด้วยคำๆ เดียว ฉันขอบอกว่า เพอร์เฟกต์!