ทิศทาง “วัน แชมเปียนชิพ” หลังโควิด-19 จากวิสัยทัศน์ประธาน ONE ประเทศไทย
“บิ๊กปลาย” จิติณัฐ อัษฎามงคล ประธาน วัน แชมเปียนชิพ ประเทศไทย ได้เป็นแขกรับเชิญของเฟซบุ๊กแฟนเพจ BrandThink เพื่อให้สัมภาษณ์สดถึงแผนรับมือขององค์กร รวมถึง New Normal หรือ ความปกติใหม่ ที่กำลังจะเกิดขึ้นสำหรับ วัน แชมเปียนชิพ ในอนาคต
วัน แชมเปียนชิพ ซึ่งเป็นรูปแบบของ Sport Entertainment จึงเป็นมากกว่าแค่เรื่องของกีฬา แต่มีการสอดแทรกความบันเทิงเข้าไปผสมผสาน มีอัตราการเติบโตในฐานะ Media Property อย่างก้าวกระโดดเป็นประวัติศาสตร์ของเอเชีย ด้วยกลยุทธ์แบบฟรีทีวีกว่า 150 ประเทศที่รับสัญญาณการถ่ายทอดสด บวกกับคอนเทนต์ที่รับชมได้ทั้งครอบครัว จึงสามารถเปิดรับแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการสนับสนุนได้อย่างกว้างขวาง
“ผมมองว่า กีฬาการต่อสู้ มีกฎกติกาที่เข้าใจง่าย เข้าถึงง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะมีแค่สองคนแข่งขันกัน มัน Ease of Access กว่า” บิ๊กปลาย กล่าวถึงจุดแข็งของกีฬาการต่อสู้ เมื่อเปรียบเทียบกับกีฬาชนิดอื่นโดยเฉพาะที่ต้องเล่นกันเป็นทีม
ความแตกต่างอย่างเป็นนัยสำคัญของนักกีฬาในสังกัด วัน แชมเปียนชิพ คือเรื่องราวชีวิตจริงของแต่ละคนที่ผ่านการฝ่าฟันอุปสรรคบนเส้นทางนักสู้ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็นฮีโร่ระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลก
เรื่องราวของพวกเขาเหล่านี้สามารถเป็นแรงบันดาลใจและจุดประกายให้แก่แฟนคลับและประชาชนทั่วไป ในลักษณะของ Pop Icon และต่อยอดไปเป็น Influencer, Entertainer หรือแม้แต่ดารานักแสดง
รายได้หลักของ วัน แชมเปียนชิพ คือ Media Right ของช่องฟรีทีวีต่างๆ รวมถึงสปอนเซอร์ทั้งจากภายในประเทศและสากล ซึ่งทุกวันนี้ Live Sport คือคอนเทนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
เมื่อกีฬาการต่อสู้ถูกผสานรวมเข้ากับความบันเทิง เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวซึ่งมีทั้งการนำเสนอในรูปแบบวิดีโอ, เสียงเพลง และเสื้อผ้าการแต่งกาย ไปจนถึงริงเกิร์ลที่ไม่จำเป็นต้องเน้นความเซ็กซี แต่มีความเป็นสปอร์ตเกิร์ลมากกว่า
“ถ้าคุณจะเรียก วัน แชมเปียนชิพ ว่าเป็นมวยโชว์ก็ไม่ผิด แต่นี่คือมวยโชว์ที่แข่งขันกันจริงๆ”
วัน แชมเปียนชิพ ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในเรื่องของรายได้หรือค่าตัวนักกีฬาในวงการมวยบ้านเรา ดังประโยคที่ว่า “ต่อยมวยก็รวยได้” จึงเป็นการยกระดับภาพลักษณ์กีฬาการต่อสู้ของประเทศได้โดยไม่จำต้องเป็นแค่แชมป์เพียงเท่านั้น
ในส่วนของทิศทางที่ วัน แชมเปียนชิพ จะสามารถจัดการแข่งขันได้อีกครั้งหลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 นั้น มีการปรับเปลี่ยนมากมายหลายอย่าง ทั้งการสร้างกิจกรรมร่วมกับพาร์ตเนอร์ เพื่อปลุกระดมสร้างกระแสในการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ การปรับลดจำนวนพนักงานลง 20% เพื่อความรัดกุมในการจัดการงบประมาณและทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเป็นนโยบายโดยตรงจากคณะผู้บริหารที่บางคนเติบโตมาจากการเป็นแชมป์โลกกีฬาการต่อสู้จึงมองเห็นภาพรวมในทุกมิติของวงการได้เป็นอย่างดี
เหล่านี้คือ New Normal หรือ ความปกติใหม่ ที่ วัน แชมเปียนชิพ จำเป็นต้องยึดถือเพื่อประโยชน์และความปลอดภัยอย่างสูงสุดในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
- ใช้ทรัพยากรต่างๆ ในประเทศที่จัดการแข่งขันให้มากที่สุด ทั้งนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย
- ทีมงานทุกคนต้องสามารถทำงานได้หลากหลาย เพื่อลดจำนวนคนหน้างาน
- แข่งขันในสนามปิด ไม่มีคนดู จนกว่าจะมีวัคซีนที่สามารถรักษาการติดเชื้อโควิด-19 ให้หายขาดได้จริง
- ตรวจเช็คการติดเชื้อโควิด-19 ของทุกคนก่อนเดินทางมาหน้างาน ด้วยมาตรการระดับอินเตอร์
- ทุกฝ่ายต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี อาศัยความคิดสร้างสรรค์ และรู้จักใช้นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อลดโอกาสในการเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 และรักษาระยะห่างทางสังคมให้ได้มากที่สุด
“จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะกลับมาจัดอีเวนต์ขึ้นอีกครั้ง”
“เรามีจุดแข็งทั้งระบบสาธารณสุขที่ทั่วโลกต่างให้การยอมรับ มีนักกีฬาหลากหลายเชื้อชาติที่เก็บตัวฝึกซ้อมอยู่ในประเทศ มีมาตรการ Travel Bubble ที่ดีกว่าอีกหลายๆ ประเทศในตอนนี้”
แผนรับมือของ ONE และ New Normal ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
เมื่อสปอร์ตเอ็นเตอร์เทนเมนต์อย่าง วัน แชมเปียนชิพ ต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ไวรัสโควิด-19 เรามีแผนรับมืออย่างไร และอะไรคือ New Normal ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต“บิ๊กปลาย” จิติณัฐ อัษฎามงคล ประธานประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์สดกับเพจ BrandThink ที่นี่เดี๋ยวนี้…………………………🌐 วัน แชมเปียนชิพ: www.onefc.com/th
Posted by ONE Championship Thailand on Wednesday, June 24, 2020
คลิปสัมภาษณ์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ BrandThink
อ่านเพิ่มเติม: